postheadericon โอวาทปาฏิโมกข์ พระคุณเจ้า

 

altalt

นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะฯ

จะว่าด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมากตามที่ได้ยินกันมาก็คือ มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ 84,000 พระธรรมขันธ์ก็คือเป็นข้อปฏิบัติธรรมทั้งนั้น เมื่อมากล่าวถึงคำสอนถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นหลักปฏิบัติเสียส่วนมาก เป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายก็เหมือนกับว่า ไม่อาจที่จะเรียนรู้หรือรับรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ได้ เพียงแต่ทุกวันนี้ เราท่านทั้งหลาย จะเรียนทำวัดสวดมนต์กัน แค่ทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำ ก็บางคนก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย แล้วทำไมคำสอนของพระพุทธเจ้าถึง 84,000 พระธรรมขันธ์จะร่ำเรียนไหว แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะไม่มี ความสามารถหรือความจดจำ ได้ถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็ตาม แต่คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ ย่อให้สั้นลงได้ ย่นย่อให้สั้นลงได้เพียง 3 อย่าง ก็เพื่อที่จะเป็นการจำง่าย 3 อย่างนั้นคืออะไรบ้าง 3ข้อคือ

สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง  
กุสะลัสสูปะสัมปะทา  
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง  
เอตัง พุทธานะสาสะนัง ในทางพระพุทธศาสนา ถ้าถอดออกมาเป็นภาษาพื้นบ้านก็คือ 1) การไม่ทำบาปทั้งปวง 2) การทำกุศลให้ถึงพร้อม 3) การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี่คือ 3 อย่าง ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงเรียกว่าเป็นบาป ทำอย่างไรจึงชื่อว่าเป็นบุญ ทำอย่างไรจึงชื่อว่าเป็นกุศล การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วทำอย่างไรalt 

ที่เราไม่รู้กันก็คือว่าอันนั้นจะเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป อย่างบางคน ดื่มสุรา ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป บางคน ฆ่าสัตว์ เอามากินทำเป็นอาหาร ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป บางคนก็ประพฤติผิดในกาม ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป ก็เพราะฉะนั้นในข้อนี้ จึงยากที่จะรู้ได้ว่าอันใดมันเป็นบาปแท้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นบาป คำสอน สอนว่าให้งดเว้นจากการทำบาปทั้งปวง ก็เราไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นบาปอย่างนี้จึงต้องหาเหตุหาผลเข้าไป สิ่งที่เป็นบาปก็ควรจะเข้าใจว่า การกระทำอย่างไรมันเป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนหรือทำตนทำคนอื่นให้เดือดร้อน หรือทำตนทำคนอื่นให้เกิดทุกข์เมื่อกระทำอย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นบาป เพราะฉะนั้นเราไม่มีใครมาตัดสินว่า อันนี้มันเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป เราก็จะต้องยกหัวข้อขึ้นว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นมันทำให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือไม่ หรือทำให้ตัวเองเป็นทุกข์หรือไม่ ถ้ากระทำลงไปแล้ว  คนอื่นเป็นทุกข์ก็ดี ตัวเองเป็นทุกข์ก็ดี  อันนี้ก็จะวินิจฉัยได้ว่า นั่นแหละมันเป็นบาป คือทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเป็นทุกข์ ส่วนข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ หรือทรงแสดงไว้เป็นข้อ เป็นข้อๆนั้นเช่นข้อศีล ไม่ให้ฆ่าสัตว์มันก็จะเข้าใจได้ทันทีทีเดียว คือศีลไม่ให้ฆ่าสัตว์ ก็เพราะว่ามันเป็นการทำคนอื่น สัตว์อื่นให้เป็นทุกข์ ให้เดือดร้อนหรือทำตัวเองให้เป็นทุกข์ให้เดือดร้อน มันก็จะเป็นบาป ในข้อแรกคือมองถึงว่า ทำคนอื่นให้เป็นทุกข์ เมื่อทำคนอื่นให้เป็นทุกข์หรือสัตว์อื่นให้เป็นทุกข์เช่น ไปเอาเลือดเอาเนื้อเขามากิน คือเอามาฆ่ากินจึงเรียกว่าปาณาติบาต อันนี้มันก็เป็นบาปแต่ถ้าไม่มีใครบอกว่าอันนี้เป็นปาณาติบาต  แต่ว่ากระทำไปแล้ว คนอื่นสัตว์อื่นเป็นทุกข์ เช่นว่าเราไปตัดขาหรือไปเด็ดขา ขามดขาแมลง ให้มันขาดไปเสียขาหนึ่ง  อย่างนี้เป็นต้น  มันก็เป็นการทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเป็นทุกข์ ไม่ถึงกับฆ่า แต่เพียงทำให้เขาเป็นทุกข์  อันนี้ก็เป็นบาปแล้ว  ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ที่นี้การที่ทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเป็นทุกข์ มันก็บางที เราไปเหยียบไปเหยียบ แล้วเขาก็หนีไม่ทัน แล้วมันก็ตายไปโดยที่เราไปเหยียบย่ำ อันนี้ก็ชื่อว่าเป็นบาปหรือไม่ ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย อันนี้สำหรับคนไม่รู้ก็จะเข้าใจว่าเป็นบาป แต่ถ้าจะสาวหาเหตุ เข้าไป ลึกเข้าไปแล้ว  ต้นตอจริงๆมันก็อยู่ที่เจตนา ต้นตอจริงๆมันอยู่ที่เจตนา เจตนาอันเดียวเท่านั้น  มันจะเป็นบาปหรือไม่เป็นบาป  มันจะเป็นบุญหรือไม่เป็นบุญ  มันก็ขึ้นอยู่กับเจตนา พระพุทธศาสนาถ้าจะย่อให้สั้นที่สุด มันก็เหลืออย่างเดียวคือจิต เหลืออย่างเดียวคือจิต ซึ่ง 3 อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า การไม่ทำบาปทั้งปวงการทำกุศลให้ถึงพร้อมการทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว

alt

ย่อให้สั้นที่สุดก็เหลือแต่จิตอันเดียว ขึ้นอยู่กับจิต คือจิตเจตนาหรือไม่มีเจตนามันก็จะรู้ได้ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป นี่ก็คือพระพุทธศาสนาย่อให้สั้นที่สุด  ก็ไม่ต้องไปร่ำเรียนพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ให้มันยืดยาวจนเสียเวลาไป ฉะนั้นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ปฏิบัติจิตอย่างเดียว ก็เป็นอันว่า นั่นแหละคือเป็นทางที่ถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ดี ศีล 227 ก็ดี มันก็ขึ้นอยู่กับจิตตัวเดียว อริยมรรคทั้ง 8 ประการ คือศีลสมาธิปัญญา  มันก็ขึ้นอยู่กับจิต ฉะนั้นคนเราปฏิบัติจิตอย่างเดียว จึงกล่าวว่า ผู้นั้นก็คือเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ผิด ที่พระพุทธเจ้าสอนให้คนรักษาศีล 5 คือปาณาติปาตา อทินาทานากาเมมุสาสุรา ให้รักษาศีล 5 ประการ มันก็คือสำหรับคนที่ยังไม่ค่อยรู้ความจริง ยังไม่รู้ลึกเข้าไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็คนทั้งหลายนั้นถือเอาภายนอก หรือสิ่งที่เห็นด้วยตาอย่าไปเอามาเป็นเครื่องวัด หรือไปเอาสิ่งที่ตนเองคิดเอานั้นมาเป็นเครื่องวัด เช่นคนหนึ่งเดินไปย่ำถูกสัตว์ให้ตาย คนที่ไม่รู้  ก็ว่าเป็นบาป เช่นมีคนขับรถไป โดยขับไปในหนทางหนึ่ง ก็พอดีมีสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง มันมานอนอยู่ที่ถนนหรือวิ่งตัดหน้า คนขับรถก็ไม่ทันที่จะห้ามรถได้ห้ามรถก็ไม่ได้ไม่ทัน  แล้วก็ไปทับมันตายเสียอย่างนี้ คนไม่รู้ ก็จะว่ามันเป็นบาปไป  แต่ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับเจตนา  ถ้าไม่มีเจตนาคือไม่มีจิตคิดว่าจะทำให้มันตาย  มันก็ไม่เป็นบาป ที่นี่คนไม่รู้  ก็จะมองไปอีกด้านหนึ่งตามที่กล่าวไว้แล้วนั้นalt

จิตอกุศลมันก็จะมี แต่พวกปุถุชนเท่านั้นแหละ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีเจตนา ท่านไม่มีจิตเจตนา ดังนั้นคําสอนของพระพุทธเจ้าถึงจะมีมากมายอย่างไรก็ตาม ถึงจะเริ่มเรียนกันไม่ทั่วไม่ถ้วนก็ตาม แต่เมื่อรวมยอดแล้วก็มี 3 อย่างและยอดที่สุดแล้วก็คือมีอย่างเดียว ก็คือจิตนั้นเอง ก็เพราะฉะนั้นผู้ใดรักษาจิต คนนั้นก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม  ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ตัดเป็นพระคาถาว่า "มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นประธาน ทุกอย่างล้วนสำเร็จลงแล้วด้วยใจ" บุญก็ดีธรรมก็ดี บุญก็ดีธรรมก็ดีถ้ามีจิตใจชั่ว ถ้าเธอมีจิตใจที่เป็นบาป ทุกข์นั้นก็จะตามบุคคลผู้นั้นไป แต่ถ้าไม่มีจิตใจเศร้าหมอง ไม่มีจิตใจที่เป็นบาปจะพูดไปอย่างไร จะทำไปอย่างไร ด้วยอาการอันนั้นเขาก็ไม่เป็นบาปศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย นี่ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นในวันนี้พระคุณเจ้า ก็ขอแสดงมาถึงโอวาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประการหรือมากมาย แต่แล้วรวบยอดที่สุดแล้วก็เหลือ 1 คือจิตดังที่เทศนามาโดยย่อก็ขอยุติลงด้วยประการละฉะนี้

ท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน

อาศรมไผ่มรกต.com

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 24 กรกฏาคม 2021 เวลา 08:10 น.)