postheadericon พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

treasurecover

ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้ พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วยธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งสังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด

※ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอบคุณ : FB ศูนย์พุทธศรัทธา


https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/11750735_955102331207122_504646921859643735_n.jpg?oh=90b0411f6b5d4468223a790b4950bc90&oe=5657588E

ตำนาน ทหารผี (สุดยอดทหารจากเมืองไทย)

ในสงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือ ได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือเอง และฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน

" ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า

1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน

2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบ หรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้

3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้ว อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว

4.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้ว ไม่มีปืนใหญ่ หรือนกยักษ์(เครื่องบิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ ทหารไทย "

ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือ ทีไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกองกำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้าย และการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว

เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตนามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมง ทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพ และบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย

การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้ และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุ สดุดีวีรกรรมของทหารไทย

ในครั้งนี้ หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนาม ยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย

ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน

เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทย ที่ปกปักรักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่าชนเสือพรานไทยนักรบชุดดำ ทหารไทยในยุคสงครามอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ

จากหนังสือพิมพ์ เสรีชัย LA.USA
อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก

เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง เคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้ว จากสงครามอินโดจีนที่กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง

พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน

ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่ง ไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็ก หรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาล หรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาว จากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ

พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น

เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ ทุกคนที่อยู่ในพิธี ต่างสะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ได้ ระงับไม่อยู่

ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิดมีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวงมาจากทุกสารทิศ ที่ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหารกล้าก็เถอะ

เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ

การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้า แล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับ พลตรีหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป

ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลองความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี

อันนี้พิสูจน์กันชัดๆอีกอย่าง ของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่ การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุกเสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่า มีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง คุณดาลินีหรือพลังปราณนั่นเอง

หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงาน แล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น

โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา เรยูกูระบัดประกอบกับวิชา อิลละมูหรือใช้วิชา สังกะลัมประกอบกันสองอัน

หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ

https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpt1/v/t1.0-9/11694846_955102357873786_7248627863878125568_n.jpg?oh=65aa7b61d36d4c2a91d89007c6490583&oe=56519B4C&__gda__=1443786568_a25c04abb55161d83024ecfac7d01885

ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยงคงกระพัน ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่า แน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่า เรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน


เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความเหนียวแบบไร้เทียมทาน หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นคือ เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด

ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อ หรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่ หลวงพ่อชวน (โอภาสี) หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพัง หลวงพ่อจาด และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก

credit: thaifighterclub, jokergameth

ขอเชิดชูเหล่าทหารหาร ที่เสียสละเพื่อผืนแผ่นดินไทย ที่ทำให้เราได้มีที่อยู่จนถึงทุกวันนี้

https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/11822735_636582089812215_4944926660674833029_n.jpg?oh=88e4f776de203d5eea1e8166a296e32f&oe=56400A16

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เล่าเรื่อง
"การเสกพระ"



เรื่องมีอยู่ว่า ... ตอนท้ายชีวิตของ หลวงพ่อปาน (วัดบางนมโค จ.อยุธยา)
หลวงพ่อปานทำรูปของท่าน แล้วมีรูป "ยันต์เกราะเพชร"
ทำหลายพันผืน สำหรับแจกบรรดาพุทธบริษัทที่มีความต้องการ

หลวงพ่อปานไม่ได้สั่งพิมพ์เอง
เป็นนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์
คนนี้เรียน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า กับหลวงพ่อปาน
ทำจนมีผล ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จนเป็น "ฌาน"

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ลูกหลานทั้งหลาย ถ้าใครจำได้นะ
ถ้าใครจำคาถาได้ ทำให้เป็นสมาธิ ทำให้เป็นฌาน มีผล ๒ อย่าง คือว่า
ถ้าเป็นฌานแล้ว ... ลาภสักการจะเกิดไม่ขาดสาย
ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องใด ๆ ไม่ค่อยจะมี
หากว่ามีขึ้นมา ก็มีการชดใช้
หมายความว่า ... หาทัน นี่เป็นประการ ๑

ประการที่ ๒ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า นี่เป็น "พุทธานุสสติกรรมฐาน"
มีผลยันให้ถึง พรหม หมายความว่า บันดาลให้เกิดเป็น "พรหม" ได้
แต่ถ้าหากใช้ "ฌาน" อันนั้นไปเจริญ "วิปัสสนาญาณ" ก็ไป ... "พระนิพพาน" ได้

ฉะนั้น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน
จึงไม่ใช่เป็นคาถาที่ปรัมปรา หรือไร้ผล
มีผลในชาติปัจจุบัน แล้วก็มีผลในชาติสัมปรายภพ

หากว่าบรรดาลูกหลานทั้งหลาย
ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน จนเป็น "ฌาน" ได้
ทุกคนก็จะไม่มีความยากจน เวลาตายก็มีความสุข
อยากจะไปนิพพานก็ไปได้
มีผลเสมอกัน เป็นคาถาของชาวบ้านโดยตรง

คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่อง "ผ้ายันต์"
ในเมื่อนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายตราใบโพธิ์
มาถวายหลวงพ่อปานจำนวนหลายพันผืน เมื่อเขาพิมพ์มาแล้ว
หลวงพ่อปาน ก็สั่ง "หลวงพ่อเล็ก (เกสโร)" ให้เอาผ้ายันต์ไปเสก

หลวงพ่อเล็กนำมาเสก ๓ เดือน
ถือว่าครบไตรมาสพรรษาหนึ่งพอดี

"หลวงพ่อเล็ก" นี่เราทราบกันอยู่ว่า ท่านได้ "สมาบัติ ๘" (รูปฌาน ๔ เเละ อรูปฌาน ๔)
แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้น สำหรับ วิปัสสนาญาณ นี่ ... จะได้อะไรฉันไม่ทราบ
ฉันไม่หลอกสิ่งที่จะรู้กันได้
ถ้าเราได้ถึงไหน ... เราก็รู้กันว่าคนอื่นเขาได้ถึงเพียงนั้น ที่เลยไปเราไม่รู้
ตอนนั้นฉันก็ยังทรง "สมาบัติ ๘" เหมือนกัน
แต่ว่าไม่ได้ฝึก "อภิญญา" ครบถ้วน
เลยกลายเป็นพระไม่ใช่อภิญญา นี่ฟังให้ดีนะ

สมาบัติ ๘ ก็อาศัย "กสิณ" กองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐาน
ไม่จำเป็นต้องใช้กสิณทั้งหมด ๑๐ อย่าง ใช้กสิณกองใดกองหนึ่ง เป็นพื้นฐาน
ยกเอารูปขึ้นมาตั้ง แล้วก็เพิกกสิณนั้นเสีย แล้วใช้ "อรูปฌาน" ขึ้นมาแทน
ถ้าทำได้ทั้ง ๔ อย่างก็เรียกว่า ทรงอรูปฌาน ๔ ได้ เป็น ฌาน ๘ ไป
นี่ฟังกันไว้เท่านี้นะ

หลวงพ่อเล็กได้ "ฌาน ๘" (สมาบัติ ๘) เลยกว่านั้น ... ฉันไม่รู้
เมื่อได้รับผ้ายันต์มาแล้ว ก็มานั่งเสก
เสกด้วยอำนาจของสมาธิ เข้าฌานสมาบัติ ๓ เดือน
เวลากลางคืน เสกกี่ชั่วโมงไม่ทราบ แต่ว่าไม่ใช่ว่าตลอดวันตลอดคืน
อย่านึกว่าตลอดวันตลอดคืน ๓ เดือน ไม่ลุก ไม่กินข้าวไม่กินปลา
นี่มันก็เกินคนไป ว่ากันตามแบบปกติ

ฟังเรื่องของพระนะ พอครบ ๓ เดือน
วันออกพรรษา หลวงพ่อเล็กเรียกฉันเข้าไป บอกให้แบกผ้ายันต์
ฉันคนเดียวมันแบกไม่ไหว ก็เอาไอ้เพื่อนอีก ๓ คน
มาช่วยกันแบกผ้ายันต์ มาถวาย "หลวงพ่อปาน"
ยังไม่ทันจะถึงเลย ห่างอีกประมาณสัก ๑๐ วาได้กระมัง

"หลวงพ่อปาน" เห็นเข้า ท่านโบกมือโบกไม้บอกว่า ...
ไม่เอา ๆ ยังไม่เสร็จ ยังไม่เสร็จ ยังใช้ไม่ได้
นี่ท่านร้องไป ก็เป็นอันว่า ... ไม่เอาเข้าไปให้ท่าน เอากลับ

ตอนนี้ "หลวงพ่อเล็ก" กลับมา ก็นึกในใจว่า ...
นี่เราทำขนาดนี้ ... ยังใช้ไม่ได้ ใครที่ไหนจะยิ่งไปกว่าเรานะ
เราเข้าถึง "สมาบัติ ๘" นี่ท่านบ่นนะ
เราเข้าถึง "สมาบัติ ๘" แล้วก็คลายสมาธิลงมาพิจารณา "วิปัสสนาญาณ"
จนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นแก้วทั้งหมด เป็นแก้วประกายพฤกษ์ทั้งหมด
แล้วเราจึงเข้าสมาธิใหม่ จัดเป็น "โลกุตตรญาณ"
แล้วเราก็อธิษฐานจิต นี่ยังใช้ไม่ได้ ก็ใครจะเสกยิ่งไปกว่านี้ ท่านบ่นให้ฟัง

ท่านก็บอกว่า ... เอา ในเมื่อ ท่านใหญ่ (หมายถึง หลวงพ่อปาน)
บอกว่าใช้ไม่ได้ ฉันก็จะทำให้ใหม่
ตอนนี้ ท่านไปทำใหม่ ๗ วัน
ท่านทำยังไงบ้างฉันไม่ทราบ เวลาท่านทำ ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับจิตใจของท่าน
พอครบ ๗ วัน ท่านมาเรียกพวกฉันไปให้ไปแบกมาให้หลวงพ่อปาน

ตอนนี้เอง พอแบกมา
"หลวงพ่อปาน" เห็นแต่ไกล ก็กวักมือกวักไม้บอก ...
เออ ๆ เอามา ๆ ๆ อย่างนี้ซิมันถึงจะใช้ได้
เก่งคนเดียวน่ะ ... มันใช้ไม่ได้
มันต้องให้คนอื่น เขาเก่งกว่า
เก่งคนเดียว ... ใช้ไม่ได้
ทำอย่างนี้ ... ใช้ได้
เมื่อเข้าไปถึง หลวงพ่อเล็ก ก็กราบ หลวงพ่อปาน
ฉันก็กราบ เพื่อนฉันก็กราบ

ฉัน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ถาม "หลวงพ่อเล็ก" ว่า
หลวงพ่อขอรับ ตอนก่อนหลวงพ่อเสกยังไง ... หลวงพ่อปานจึงว่า ใช้ไม่ได้
"หลวงพ่อเล็ก" บอกว่า ตอนก่อนฉันเข้า " สมาบัติ ๘"
แล้วใช้ "วิปัสสนาญาณ" เต็มที่
คลายจิตออกมาถึง อุปจารสมาธิ อธิษฐาน ...
แล้วก็เข้า "สมาบัติ ๘" ใหม่
เท่านี้ ๓ เดือน ไม่ได้ขาดเลยทุกคืน คืนละ ๓ ชั่วโมง
ท่านใหญ่ (หลวงพ่อปาน) บอกว่า ... ใช้ไม่ได้

หลวงพ่อปาน ท่านก็ออกมาบอก ...
ยังงี้ใช้ไม่ได้ดอกคุณเล็ก (หลวงพ่อเล็ก) คุณเล็กอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ
คือว่า ถ้าเราทำอะไร ถ้าเก่งคนเดียว ... มันใช้ไม่ได้
ไอ้เราเองน่ะมันไม่ดีพอ ต้องให้คนอื่นเขาดีบ้าง

จึงได้ถาม "หลวงพ่อเล็ก" ใหม่ว่า ...
หลวงพ่อขอรับ ตอน ๗ วันนี่ หลวงพ่อทำยังไงขอรับ
ท่านบอกว่า ในเมื่อฉันใช้ สมาบัติ ๘
ท่านใหญ่บอกว่า ... ใช้ไม่ได้
ฉันก็กลับ คราวนี้ฉันไม่เอาละ

ฉันก็ตั้งท่า "บวงสรวงชุมนุมเทวดา"
อาราธนาบารมีพระทั้งหมด ตั้งแต่ ...
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด
พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด
ฉันยกยอดเลย ยกยอด ในเมื่ออาราธนา ... เห็นท่านมากันครบถ้วน

แล้วท่านมาทำกัน คืนหนึ่งประเดี๋ยวเดียว
สัก ๑๐ นาที ท่านก็กลับ แล้วท่านก็บอกให้เลิก ฉันก็นอน
ฉันทำมาแบบนี้ถึง ๖ วัน ถึงวันที่ ๗ ทุกท่านมา แต่ไม่มีใครทำ
ท่านบอกว่า ... ไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว คุณจะให้ฉันทำอะไร
ฉันก็เลยเลิก ถึงได้ให้พวกเธอแบกมาให้ท่านใหญ่
นี่ท่านเรียก หลวงพ่อปาน ว่า ท่านใหญ่

หลวงพ่อปานฟังแล้ว ก็หัวเราะก๊าก บอก ... จริงที่คุณเล็กพูดน่ะ
จริงนะอาจารย์เล็ก ท่านเรียกอาจารย์เล็กบ้าง คุณบ้าง
ที่อาจารย์เล็กพูดนั่นน่ะจริง

พวกเธอจงจำไว้นะ
การที่เราจะ เสกพระ เสกผ้ายันต์ ... อะไรต่ออะไรนี่น่ะ
ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราละ ... ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน
การเสกว่าคาถาต่าง ๆ นี่
ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หรือเทวดา หรือ พรหม ... มาช่วย
แต่ว่าคาถาบางอย่าง ก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด

การเสกพระเสกเจ้า หรือเสกผ้ายันต์ เสกอะไรต่ออะไรพวกนี้
ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง
แต่อาราธนาบารมี ...
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด
พรหม หรือ เทวดาทั้งหมด ... ท่านมาช่วย
ท่านทำประเดี๋ยวเดียว ๒-๓ นาที มันก็เสร็จ
ดีกว่าเราทำ ๑ ,๐๐๐ ปี
แล้วเราจะเอาอะไรบ้าง ก็อาราธนาบอกท่าน
บอกว่า ขอให้ใช้ได้อย่างนั้นอย่างนี้

แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริต หรือ กฎของกรรมบังคับ
ไม่มีอะไรจะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้ว ก็คอยพยุงๆให้เลวน้อยลงไปนิดหนึ่งได้
ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อย ก็พยุงให้ดีมากได้
นี่เป็นกฎของ อำนาจพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหม และเทวดาทั้งหลาย

ท่านพูดแล้ว ท่านก็ชอบใจ
บอกว่าคุณเล็กทำถูก ตอนก่อนฉันรู้ ไปตั้งท่าเข้าสมาบัติอยู่คืนละ ๒-๓ ชั่วโมง
ฉันนั่งอยู่ที่กุฏินี่ ฉันก็รู้ แต่ที่ฉันไม่บอกไว้ก่อน เพราะจะให้คุณเล็กนี่นะรู้เอง
การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้

มันต้องให้พระท่านเก่งซี
พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง
ของที่เราทำ เราจะไปตามคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน
ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง
ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

alt

พระรัตนตรัย มีครบทุกอย่าง ... ไม่ต้องไปเรียนหรอกคาถาอาคม น่ะ มาเอาพระรัตนตรัยดีกว่า พระรัตนตรัยมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มีครบหมด..

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ..

การรับอารมณ์พระรัตนตรัย

1.
เริ่มจากเราทรงฌานสูงไว้ก่อน จนทรงเอกัคคตารมณ์ (ว่าง ไม่มีความคิดใดใด) ตรงนี้จะสังเกตุว่า จิตยิ้ม ใช้คำนี้ ง่ายดีเห็นภาพ คือ จิตจะทรงพรหมวิหาร4 เต็มอัตรา เย็น ออกมาเลย ว่าง สงบ เรียบ เฉย ไม่มีนิวรณ์ เลย เขตนี้ ทรงอย่างนี้สักระยะนึง จนแน่ใจว่า ว่าง จริงๆ จิตนิ่งสนิท จริง ….*****จุดนี้สำคัญมากนะ ต้องทำให้ถึงก่อนนะ จึงจะทำลำดับต่อไป****

2.
จากนั้นแล้วค่อยประคอง จุดนี้ น้อมระลึกถึง พระคุณของพระรัตนตรัย จะเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือ พระอริยสงฆ์ ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่คิดว่า จิตเราเข้าหาท่านได้ อย่างซาบซึ้งตรึงใจ ...ค่อยๆนำอารมณ์จิตตรงนี้ เข้าไปหาพระองค์ท่านนะคะ...เหมือนเราบรรจงนำ เข็มเล็กๆไปวางบนผิวน้ำแผ่วๆ ไม่ให้เข็มจม ให้เข็มนั้นลอยได้อยู่บนผิวน้ำ เปรียบเทียบให้เห็นว่า เรากำลังเข้าไปสัมผัส รับอารมณ์พระรัตนตรัย ...เราต้องนอบน้อม ทำด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ละเอียดอ่อน ปราณีต พระรัตนตรัย นั้นสูงสุด บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดไปให้ถึงความดีของท่าน(พระพุทธเจ้า) ระลึกถึงพระคุณงามความดีของพระองค์ท่านแบบชนิด น้ำตาไหล ซาบซึ้ง เกินคำบรรยาย ใดใด อยู่ในอารมณ์ นี้ ไปจนอิ่มเอม แล้วจึงขอบารมีพระท่านครอบจิตลูกด้วยเจ้าค่ะ ...ขอให้ลูกสัมผัสอารมณ์จิต ดวงจิต ดวงวิญญานของพระองค์ท่านด้วยเถิด ...เราจะรับสัมผัสความเมตตา อ่อนโยน เป็นกระแสความเย็น แผ่ครอบคลุมจิตเราเลย ขอพระบารมีทั้ง30ทัศที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา หลั่งไหลสู่จิตลูกด้วยเถิด ขอให้ทุกอณูเนื้อจิตลูก ปกคลุมไปด้วยพระบารมีของพระองค์ ให้จิตลูกกลายเป็น จิตพระ พระเป็น ลูก ลูกเป็นพระ


มือตวัด ธ ร ร
จิตตวัด พ ร ะ

(พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ)

นั่งลึก หมายถึง การดำรงจิตนิ่งลึกลงไปสู่ความว่าง
เขตนี้ไม่มีอะไรมารบกวนจิตที่มา ที่ไป ของมนุษย์นี้หน๋อ ยากแท้ที่คนส่วนใหญ่จะตามทัน
ถ้าจิตเรามาไม่ถึง ณ ดินแดนแห่งความสงบลึกนี้ ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลย
เพราะการรู้นี้ รู้แค่จิตปัญญาธรรมดาๆ ย่อมไม่เพียงพอแน่ ต้องหยั่งรู้จริงๆ
รู้ลึกลงไป คือการแทงตลอดสาย ไม่มีคำว่าอ้อมค้อม เจาะลึกลงไปที่ความจริงแท้
โอ้แม่เจ้า ถึงว่าคนเรา(ดวงจิต)ถึงได้มาจุติทำไมหลายภพ หลายชาติ หลายอสงไขย
เพราะจิตไม่เคยหยุดนิ่ง ไหลตามความรู้สึกนึกคิดของเรานี่หน๋อ จึงยากแท้ที่จะตามทัน
เห็นมีแต่เหล่าพระอริยสงฆ์ อริยบุคคลขั้นสูง เท่านั้น ที่พอจะเห็นเกิดดับทันบ้าง
แค่รู้เท่าทันเฉยๆนะ แต่ยังออกจากรูปนาม ไม่ได้ เหมือนจะรอปัญญาวิ่งให้ครบวงจรก่อน
เหมือนไฟฟ้าวิ่งครบวงจร เมื่อใด แสงสว่างก็จะสว่างโพรง เมื่อนั้น
เหมือนนักภาวนาเห็นแสงธรรมสว่างแจ้ง เมื่อนั้น พอแล้วพอ คราบมนุษย์นี้ พอแล้วพอ ทั้งความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย
ที่นำพาดวงจิตเกิดตาย ตายเกิดมากี่ภพชาติแล้ว พอเถิดพอแล้ว
ไม่อยากตายก็ไม่ต้องอยากเกิดมีขันธ์หรือกายหยาบอีกต่อไป
กายหยาบนี้ หรือขันธ์นี้ ก็คือ กองทุกข์อันใหญ่หลวงของเหล่ามนุษย์ดีๆนี่เอง
จะเกิดเป็นมนุษย์สุดประเสริฐแค่ไหน ก็ไม่เอาแล้ว เห็นอนิจจัง ชัดแล้ว
เห็นทุกข์ ชัดแล้ว เห็นไม่มีตัวไม่มีตน ชัดเจนแล้ว เห็นอริสัจจ์ ชัดแจ้งแล้ว
จิตเจริญมรรคครบแล้ว มีทั้งสติ มีทั้งศีล มีสมาธิจิต มีจิตปัญญา วิปัสสนาญาณขาดแล้ว
จิตปล่อยวางแล้วทุกสิ่ง จิตยอมรับไปตามกฎธรรมดา หรือกฎแห่งกรรมทุกอย่างแล้ว
จิตก็อยู่เหนือความกลัว ความตายของตนเองได้แล้ว ทุกข์ไม่เอา สุขไม่ยึด บุญบาปก็อยู่เหนือ
สิ้นเวร สิ้นกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือโลก ก็คือเหนือขันธ์๕ตนเอง
ไม่วิ่งตามกิเลสตัณหาอุปาทานตนเอง รู้แค่ คำว่า สักแต่ว่า สักแต่มี สักแต่ได้
สักแต่อยู่ สักแต่เป็น เพราะทุกสิ่ง ทุกธรรม ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ
แม้นกระทั่ง ความู้สึกนึกคิดหรือคิดปรุงแต่งจิตทั้งหลาย มีอยู่จริงๆที่ภายในขันธ์ของตน
เมื่อเราฝึกจิตมาดีแล้ว ย่อมรู้เห็น เห็นเกิดดับเป็นธรรมดาเสียก่อน จิตจึงจะถึง อนัตตาได้
เมื่อจิตกลายเป็นอนัตตา เราจะเข้าใจ คำๆนี้เป็นอย่างดีว่า ดับไม่เหลือ ดับไม่เหลือ
แต่สิ่งที่ไม่เคยดับ นั่นก็คือ กิเลสตัณหาฯซึงมีอยู่ในกาย หรือสังขารขันธ์ของตนไม่เคยดับ
เพราะเกิดแล้วก้ดับ ดับแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก เป็นอยู่แบบนี้แลฯ ไม่มีคำว่า จบหรือสิ้นสุด
ตราบใด โลกนี้ยังไม่มคำว่า เกิดดับหรือแตกสลายมลายเป็นจุน
ดวงจิตจึงจะเลิกเกิดมีกายหยาบกัน เมื่อนั้น แต่ทว่า มีอากาศเหมาะสม มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
ดวงจิตก็สามารถจุติมีกายหยาบขึ้นมาได้อีก มีกายมีจิต เหมือนมีการเริ่มต้นคำว่า ทุกข์
ทุกข์กาย ทุกข์ใจ สำหรับผู้ที่ฝึกจิตมาดี คงมีแต่ทุกข์กาย แต่ไม่ทุกข์ใจธรรมจิตในจิตบอกไว้ว่า จัดงานศพให้กับตัวสังขารขันธ์และตัววิญญาณขันธ์ของตนเสียแล้ว
คำว่า สุขทุกข์ คำว่า พอใจไม่พอใจ ไม่มีในจิตใจของเราอีกต่อไป
กำหนดรู้อยู่ภายในนั้นเสมอๆ ไม่มีคำว่าเผลอเรอ จิตตนไม่มี เห็นมีแต่พระในจิต
หรือจิตกลายเป็นพระไปเสียแล้ว วันพระของเราก็ไม่ี เพราะวันพระของเรามีทุกวัน
วันใด ไม่มีวันพระ ไม่มี มีทุกวันเลย ทำบุญทุกวัน คือจิตสงบสุขทุกวัน
สุขมีเยอะแต่ไม่ยึดมาเป็นของเรา สักแต่ว่า ทำบุญไป บุญภายนอก ถ้ามีโอกาสก็ทำไป
แต่บุญภายในใจของเรานั้น ไม่ใช่ทำทุกวัน แต่ทำแทบทุกลมหายใจ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้บุญ
เพราะจิตเรามันนิ่งสงบสุขได้ที่ไปแล้ว ไม่ถอน ไม่มีคำว่าจางคลาย ไม่มีคำว่าเบื่อ เหงา
หรือดีอกดีใจสุดขีด ไม่มี ถึงมี ถึงรู้ก็เฉยๆ นอกจากเราจะรู้เท่าทันแล้ว เข้าใจไตรลักษณ์ดีแล้ว
เข้าใจอริยสัจจ์ถูกต้องแล้ว ที่เหลือคอยรับสื่อธรรมที่ผุดขึ้นกลางจิตในขณะที่นิ่งสงบอยู่นั้น
ธรรมอันใดของพระพุทธเจ้า ธรรมอันใดของหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ รือสายบุญของเรา
ที่ยังมิได้ปฎิบัตตามทันทีทันใด ก็ให้รีบปฎิบัติตามทันทีทันใดเสีย อย่าเสียโอกาส อย่ารอ
ทำเดียวนั้นเลย ทำตอนนี้เลย เดี๋ยวจะตายเสียก่อน เดี๋ยวคนตายไม่ได้ทำ มาเสียใจภายหลัง
เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตตน เสียไปหมดทุกอย่าง เช่น เสียเวลาที่เกิดมาชาตินึง
ที่ไม่ีดวงตาเห็นธรรม ยังไม่ได้ออกจากทุกข์ตนเอง
เมื่อทุกข์ก็ยังไม่สามารออกกันได้ ก็น่าจะเป็นจริงคำดังว่า นิพพานสำหรับเรา ยังอีกไกล
มันก็เป็นจริงดังนั้น สำหรับผู้คนเหล่านั้น ที่ยังหาทางออกจากทุกข์ตนเองยัง ไม่ได้ที่ออกมาพูดวันนี้ ไม่ใช่อะไร มาสกิดเตือนใจกัน ถ้าไม่รักจริง ไม่เมตตากันจริงๆ
จะขอเข้าอุเบกขาดีกว่าไหม จะมานั่งพิมพ์ทำไม ให้เสียเวลา ไม่สกิดใจกันบ่อยๆ
จิตเราๆท่านๆ ยิ่งไปกับทางโลกกันมาก ก็เลยมองไม่เห็นธรรม ข้ามพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ข้ามธรรมะหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อของเรา ข้ามพระรัตนตรัยกันไปหมดสิ้น
แต่ถ้าไม่ข้าม ทำไม ลืม แก้วสามประการของตนเอง เสียเล่า!วันนี้ จึงมาชวนกันฝึกไว้อาลัยกับ รู ป น า ม ของตนเอง เนิ่นๆ
โดยเฉพาะ ผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน ต้องฝึกวันนี้ ฝึกเดี๋ยวนี้ภูทยานฌานปล. ขออนุญาต ขั้นวันแห่งความรัก ก่อนหนึ่งวัน รอไม่ไหวจริงๆ
สำหรับความรักของคนทางโลก ขอให้มีความรักด้วยปัญญา
อย่ามีรักแบบงมงาย รักงี่รักเง่า รักจนเงยหัวไม่ขึ้น บอกอะไรทำหมด โดยไม่แยกแยะความผิดถูก
อันนี้เสียหายมาก นี่หรือ เราคือนักปราชญ์ ผู้ฉลาดในปฐพี ทางธรรมเขาเรียกว่า ยิ่งกว่างมงาย
พยายามเปลี่ยนความรักแบบทางโลกมาเป็นทางธรรมหรือปัญญา
นั่นก็คือ รัก+เมตตา คือรักแท้ คือรักมีแต่ให้กันและกัน ไม่ยึดเอามาเป็นเจ้าของ
เพราะตัวเราเองก็ยังยึดไม่ได้เลย สักกายทิฎฐิ แปลว่าอะไร กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
มันเข้าไปถึงกระดองจิตกันไหม ถ้ายังก็ขยันสร้างสติปัญญาให้มากๆ ทำให้ต่อเนื่อง
ดูสิมันจะมีเวลาไปล้วงลูกทางโลกกันตอนไหน เมื่อจิตเราอยู่กับพระ อยู่กับธรรมจริงๆ
มันจะมีเวลาไปทำอะไรไม่ดี ไปสร้างเวรสร้างกรรม ตอนไหน
เพราะคนที่สนใจจิตตนจริงๆนั้นเขามีแต่คำว่า บุญกุศล แทบจะทุกลมหายใจกันเลยทีเดียว
เอาแค่นี้ก่อน แค่นี้ แค่หอมปากหอมคอ ส่วนใครชอบจัดหนักกว่านี้ ขอให้บอกมา

"อะไรเอ่ย ได้ยินโดยไม่ต้องมีหู รู้เห็นโดยไม่ต้องมีตา รับรู้โดยไม่มีวิญญาณ แสดงปาฎิหาริย์ได้โดยไม่ต้องมีมือมีตีน ได้แก่อะไรเอ่ย"

******หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เราสู้ สู้ตรงนี้ สู้ที่นี่ ***

การปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปู่แหวน ***

หลวง พ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ลูกหาต่างถอดสร้อย และรวมพระเครื่องต่างๆ รอให้ ลป. ปลุกเสกให้ดังนี้ :-

"พอ ใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดูจิตของหลวงปุ่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤษ์เต็มดวง ลอยอยู่ในอกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปุ่แหวน ก็คิดว่า ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคล ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เข้าถึงพระธรรม
โดยความจริง หลวงปุ่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสกให้คนเข้าถึงธรรม

ท่าน นึกในใจต่อไป หลวงปู่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ พอถึงพะอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลงหลังอาตมาปั๊ปเข้าให

แล้วถามว่า เฮ้ย ... *********มานั่งอยู่ทำไมวะ

อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด

(ลป.ตื้อ) หลวงปู่แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ทำไป
แล้ว ก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปู่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอกสว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันต์เจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมด เลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก

นี่ เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปุ่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่า อานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลังศักดิ์สิท

๏ สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตามาสอนมีจุดสำคัญโดยย่อ ดังนี้

ก) กฎของกรรม หลีกเลี่ยงกันไม่พ้นหรอก แต่พุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ทำให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ก็ไม่ควรจักประมาทเป็นที่รู้อยู่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ตถาคตสรุปลงไว้แค่ จงอย่าประมาทเท่านั้น

ข) การต่อสู้เพื่อจรรโลงงานประกาศพระศาสนา เป็นการเอากายเข้าเสี่ยง การต่อสู้เพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นการเอาจิตเข้าแลก เพราะฉะนั้น เผลอเมื่อไร ประการแรกกายจักตาย ประการหลัง ถ้าเผลอจิตก็พลาดจากมรรคผลนิพพา

ค) พวกเจ้าจงหมั่นเอาจิตคุมกายกันไว้ให้ดี ๆ พยายามอย่าให้กายคุมจิตให้มากนัก ทุกข์กายเกิดจงหมั่นกำหนดรู้ แก้มันไปให้เร็วที่สุด จิตอย่าไปเกาะทุกข์ของกาย จิตหมั่นพิจารณาหาความจริงของกายให้พบ และยอมรับสภาพของกายตามความเป็นจริง โดยอาศัยปัญญาอันเกิดจากสมถะ วิปัสสนาเป็นกำลังใหญ่ เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยของการมีร่างกาย จิตไม่ดิ้นรน ยอมรับสภาพของกายว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปกติ เราคือจิตจักไม่สนใจในมัน ช่วยแค่ระงับทุกข์ชั่วคราว คิดไว้เสมอว่า ตายเมื่อไหร่เราจักเลิกคบมัน จิตตั้งมั่นอยู่แต่พระนิพพานจุดเดียว นาน ๆ ไปจิตจักคุมกายอยู่ คือ ชินในทุกข์ของกาย และวางเฉยได้ ไม่ทุกข์กับกายอีก จิตก็ทำหน้าที่เจริญสมณะธรรมไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าตอนนั้นกายจะทุกข์หรือสุขก็ตาม อารมณ์จิตที่แยกออกมาได้ กายส่วนกาย จิตส่วนจิตนี่แหละทำให้จิตคุมกายได้ เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณอย่างแท้จริง แม้ในวาระแรก ๆ นี้จักเป็นของใหม่อยู่ รบทั้งสงครามประกาศพระพุทธศาสนา รบทั้งสมครามภายในจิต ก็ต้องระมัดระวังตัวทั้งกายทั้งจิต ขอให้ทำกันไปเถิด อย่าละความเพียร ผลสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้แน่

ง) มีอะไรเกิดขึ้น ก็จงอย่าตกใจกันเกินควร ให้ยอมรับนับถือกฎของกรรมว่า มันเป็นธรรมดา ตั้งสติกำหนดรู้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน

เล่ม 1 ตอนที่ ๓ ตอนจบ ธรรมะและเหตุการณ์บางตอน ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อ(พระราชพรหมยาน)

ทำไมไม่ดูตัวอย่างของเหล่าพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระสุปฎิปันโน เช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤาษีฯของพวกเรา เป็นต้น
จิตของท่านเหล่านั้น เกาะแต่พระรัตนตรัยกันแจเลย โดยเฉพาะพระพุทธคุณ จิตตนกลายเป็นจิตของพระพุทธเจ้ากันไปหมดแล้ว
และท้ายที่สุด จิตพระอริยเจ้าเหล่านั้นก็พากันไปไหน ถ้ามิใช่..พระนิพพาน ต่างพากันไปตามหาจิตพระพุทธเจ้า นั่นเอง

เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าไปเลยทางอื่น พากันเดินสายกลางนี้กันเถิด เพราะทางอื่นมันหลง
ขอฝากข้อคิด ช่วยกันขบคิดพิจารณาธรรมตรงนี้กันให้ดี

ปล. แต่อยากจะสื่อว่า..จริตผู้ใดถูกกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ถือว่าได้เปรียบกว่ากรรมฐานกองอื่นๆมากนัก

ภูทยานฌาน

“ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้อง คอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำพระไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจที่เข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ยังอ่อนอยู่ ฉะนั้นจึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนบถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออกจะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า “พระธรรมวินัย”

นี่เป็นความจริง เป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้ หมายความว่า คนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรจะทำตามที่พระแนะนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลง เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจาก อันตรายได้
ที่เรียกว่า “พระเครื่อง” อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก “เครื่องรางของขลัง” อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลัง ท่านทำมาด้วยวิชาที่เขาเรียกว่า “พุทธศาสตร์” ไม่ใช่ “ไสยศาสตร์” พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์เขาทำมาเพื่อทำลาย สำหรับพุทธศาสตร์เขาทำมาเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตถึงจะเกิดขึ้นก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้”

(ต่อไปนี้เป็นคำตอบปัญหาของหลวงพ่อในเรื่องนี้)

ผู้ถาม: “หลวงพ่อคะอ่านประวัติของหลวงพ่อปานแล้วมีความรุสึกว่า ถ้าเรามีวัตถุมงคลที่มีพลังสูง เช่น ยันต์เกราะเพชร ก็ดีนะคะ ตอนที่ลาว ปล่อยของมาแล้ว ของอื่นแตกหมด แต่ยันต์เกราะเพชรนี้อยู่ ไม่เป็นไร ทำให้นึกอยากได้ของที่แจ๋วๆ อย่างนั้นค่ะ”

หลวงพ่อ: จะเอาเพชรสีอะไรล่ะ สีน้ำมันก๊าด? จะไปยากอะไร ยันต์เกราะเพชรบทเสกกับบทเขียนก็มี พระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส บทต้น แล้วก็ทุกวันต้องบูชาด้วย อิติปิ โส ๑ จบ มีพระองค์ไหนก็เหมือนกัน หรือมีพระคล้องคอ เวลาสวด อิติปิ โส ก็นึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้า ห้องที่สองนึกถึง บารมีพระธรรม ห้องที่สามนึกถึง บารมีพระอรหันต์ทั้งหลาย พวกบูชายันต์เกราะเพชรก็ต้องใช้บทนี้เป็นประจำ ถ้าไม่ใช้ประจำฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มครองได้นะ”

ผู้ถาม: “ก็แสดงว่ายังมีวัตถุมงคลที่มีพลังสูงจริง”

หลวงพ่อ: “มันอยู่ที่เราด้วย ทำมาให้ดีแล้ว เราดีเท่าของหรือเปล่า ถ้าเรามีความเข้มแข็งแล้วเราก็ดีเท่าของ อย่างเขาเอารถยนต์มาให้เรา เราใช้ไม่เป็น รถยนต์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม...เขาให้มาแล้วเราก็ใช้ให้ถูกทางด้วย ก่อนที่จะใช้ก็ต้องหาน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเผาอะไรพวกนี้ใช่ไหม...ก็เหมือนกัน เมื่อได้พระมาแล้ว นึกน้อมความดีของพระ นึกถึงความดีของพระ ไม่มีอะไรมาก อิติปิ โส บทเดียวพอ ทุกๆ วัน ตอนเช้าตื่นขึ้นมานึกถึงบารมี นึกถึงพระที่เรามีอยู่”

ผู้ถาม: “บางคนห้อยพระราคาเป็นแสนก็ตาย”

หลวงพ่อ: “ถ้าถึงวาระก็ต้องตาย ความจริงที่ให้มีพระคล้องคอ ท่านมีความหมาย ให้ทำใจเป็นพระ ว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนในหลักใหญ่ ๓ ประการ”

๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะสร้างแต่ความดี
๓. สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส แล้วก็ลงท้ายว่า

เอนัง พุทธานะสาสะนัง เราขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด

นี่ท่านต้องการทำจิตให้เป็นพระ ไม่ใช่เอาพระไปตีกับชาวบ้าน บางทีพาพระไปขโมยเขาเสียอีก พระขโมยของตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ศีลขาดหมดแล้ว พาพระไปกินเหล้าเป็นปาจิตตีย์ พาพระไปเล่นการพนัน พระก็ถูกสึก ไมไหว ใช่ไหมคุณ”

(และปัญหาข้อสุดท้ายเรื่อง พระบรมสารีริกธาตุ)

ผู้ถาม: “หลวงพ่อครับ กระผมมี พระธาตุ อยู่องค์หนึ่ง เราจะมีวิธีดูยังไงครับ จึงจะรู้ว่าเป็นของพระองค์จริง...?”

หลวงพ่อ: “ฉันไม่ดูเลย ฉันคิดว่าจะบูชาอะไรก็ตาม ถ้าใจเรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้หมด จะมัวไปนั่งติดธาตุอยู่ทำไม เราหาองค์ท่านไม่ดีรึ ใช่ไหม...เรามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ แต่ไม่นึกถึงท่านเลยจะเกิดประโยชน์อะไร
ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้าเพียงใด นั้นผลจึงจะเกิด ถ้าเรามีอยู่เราไม่เคารพ ก็ไม่มีความหมาย ดีไม่ดีจะเกิดเป็น การปรามาส เข้าอีกจะซวยใหญ่ ใช่ไหม...ว่าตรงไปตรงมานะ
แต่ว่าถ้าเรามีอยู่จริงเราเคารพ จริงก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า จริงหรือไม่จริงเราก็ไหว้ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็หมดเรื่อง ยังไงๆ ก็ถึงพระพุทธเจ้าแน่”

ผู้ถาม: “ถ้าหากว่าบ้านมี ๒ ชั้น แล้วเอาพระพุทธรูปไว้ข้างล่าง ถ้ามีคนเดินผ่านชั้นบนจะเป็นไรไหมคะ...?”

หลวงพ่อ: “ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจปรามาส ก่อนขึ้นก็ไหว้ ขอขมาอภัยท่าน”

ผู้ถาม: “แต่ถ้าหากเป็นพระธาตุนี่เอาไว้ชั้นล่างไม่ได้ใช่ไหมคะ...?”

หลวงพ่อ: “มันก็ครือกัน แล้วแต่ถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นอะไรก็เอาไว้ชั้นบนก็ดี ใจจะได้สบาย พระพุทธรูปก็เหมือนกัน แต่ถ้าจำเป็นกรณีพิเศษเราเดินขึ้นไปโดยไม่มีใจปรามาสก็ไม่เป็นไรนะ”

จาก หนังสือ “หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑”หน้า ๑๑๑-๑๑๕
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ (พระมหาวีระ ถาวโร)
***หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง***

๓.พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
เป็นพระมหาเมตตาธิคุณ ซึ่งหาประมาณที่สุดมิได้
ถ้าบุคคลใด ที่มีจิตอันละเอียดอ่อนจริง ย่อมรับกระแสพระมหาเมตตาธิคุณของพระพุทธเจ้านี้ได้
เพราะพระมหาเมตตาธิคุณ หรือพระพุทธคุณนั้น แทรกตัวอยู่ทุกอณู ทุกรูขุมขน
แม้นกระทั่งอากาศที่พวกเรากำลังหายใจอยู่ เล็กแค่ไหน ละเอียดแค่ไหน ก็สามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ได้
พวกเราก็ลองคิดพิจารณาดูเอาเองละกัน

พระองค์ท่านส่งกระแสธรรมมาถึงทุกประตูจิตแล้ว แต่น่าเสียดายยิ่ง เพราะจิตพวกเราไม่พยายามทำให้ละเอียดกันเอง
มัวแต่ไปสนใจในธรรมอย่างอื่นซะมากกว่า เพราะพระธรรมหรือคำสั่งสอนฯ ติดตามทุกขณะจิตอยู่ตลอดเวลา
แต่ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ที่ยังตามหาจิต ตามหาความสงบสุขภายในตนเอง มิได้
ส่วนผู้ที่พบจิต พบความสงบสุขภายในจิตของตนได้แล้ว อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะถือว่าออกจากทุกข์ได้(บ้าง)แล้ว
ถึงทุกข์ก็เป็นทุกข์ทางกาย หรือทุกข์น้อยที่สุด สั้นที่สุด เพราะเมื่อท่านมีสติ มีปัญญา ทุกข์นั้นก็จะดับหรือหายไปทันที

ผู้เจริญ ผู้รู้ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย ย่อมเดินตามรอยพระบาท..พระตถาคตเจ้า
พระองค์ทรงประพฤติ ทรงปฎิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศในปัฐพีนี้แล้ว

คุณเชื่อไหม เมื่อจิตมันปล่อยวางได้ จิตก็จะกลายเป็นความว่างๆๆๆ เป็นธรรมเอง
วันนึงๆ จิตหรือความว่างนี้ จะไม่ไปไหนเลย นอกจาก พระรัตนตรัย
โดยเฉพาะ รับรู้อารมณ์ รับพลังจากพระพุทธคุณ อยู่กับธรรม วนเวียนอยู่กับพระสงฆ์สาวกฯ
จะอยู่แบบนี้ ปักแน่น ปักแจเลย ศีลสมาธิปัญญาหมุนรอบเป็นวงกว้าง แต่หาจิตไม่พบเจอแล้วนะตอนนี้
รูปมีเหมือนไม่มี นามมีก็เหมือนไม่มี เห็นตัวสังขารเห็นตัววิญญาณครบครั้น

ในขณะที่จิตทรงความว่าง(เอกัคคตารมณ์)บ่อยๆจนเกิดความเคยชิน เหมือนเราไร้จิตวิญญาณในขณะหนึ่ง แล้วมีบางสิ่งบางอย่างมาสิงมาครอบแทนจิตตน
อะไรประมาณนั้น ผู้เขียนก็พยายามจะสื่อเป็นภาษาสมมุติให้กับพวกเราหลายต่อหลายรอบอยู่ แต่ไม่สำเร็จ เหมือนเราพูดให้คนหูหนวกฟัง ชี้ให้คนตาบอดดู

วันนี้จึงเข้าใจคำว่า ปัจจัตตังมากมายยิ่งนัก(ซาบ+ซึ้งใจหาที่สุดมิได้)
พลังแห่งพระพุทธคุณนั้น หาประมาณมิได้จริงๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว จริงๆ

คนส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง..ธรรมปฎิบัติ
ย่อมต้องพึ่งพาแก้วสามประการ โดยเฉพาะพระสงฆ์ สำหรับแก้วอีกสองประการนั้น ยังเข้าไม่ถึงกัน
แต่ถ้าพวกเราเข้าถึง คำว่าวัดหรือสำนึกก็หมดความหมาย หมายถึงผู้บวชจิตได้เอง ยิ่งจิตเข้าถึงอารมณ์พระพุทธเจ้าหรือพระพุทธคุณกันได้
เพราะกำลังใจจะเกิดขึ้นเป็นทวีคูณหรืออย่างมหาศาลทีเดียว

อะไรเอ๋ย...

"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"


ยิ่งลึก ยิ่งนิ่ง ยิ่งรู้ ยิ่งว่าง ยิ่งหาตัวตนมิได้ สุดท้ายมีแต่ความว่างเปล่า มีเหมือนไม่มี เห็นเหมือนไม่เห็น จับต้องได้และจับต้องมิได้

" หัวใจเป็นมงคลสำคัญที่สุด
ถ้าหัวใจไม่เป็นมงคลเสียแล้ว
มีวัตถุมงคลมากมายเพียงใด
ก็ไม่มีความหมาย "

"พุทโธ" ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
คำว่า " พุทโธ" เพียงคำเดียวเท่านั้น
คือพลังแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายรวมอยู่กับคำว่า

"พุทโธ" นี้ทั้งนั้น


" แ ก ก ร า บ พ ร ะ ถู ก พ ร ะ ห รื อ ไ ม่ "

พี่เมธาเล่าว่า หลวงปู่ท่านเมตตาสอนว่า "แกกราบพระนั้น ถูกพระหรือไม่"
พี่เมธาอธิบายต่อไปว่า เรากราบพระกราบอย่างไร ถูกพระ หรือแค่เพียงถูกไม้กระดาน
อุปมาการไหว้พ่อแม่ของเรานั้น หากเราไหว้โดยเหมือนเป็นหน้าที่
กลับจากทำงานพบ หน้า ก็ยกมือไหว้ ไหว้เพราะความเคยชิน

แต่ถ้าบางครั้งเมื่อเราได้ อ่าน หรือฟังข้อความใดๆ เกี่ยวกับพระคุณพ่อแม่
หรือมีเรื่องที่ทำให้เรา รำลึกถึงพระคุณท่านจนน้ำตาไหล
แล้วเราเข้าไปกราบท่านด้วยความรักและ กตัญญู นั่นละ...กราบด้วยหัวใจ

กราบพระก็เช่นกัน หากเราเห็นพระพุทธรูปแล้วกราบตามธรรมเนียม
กราบเพราะคนอื่นเขากราบกัน กราบไปอัตโนมัติตามความเคยชิน
หลวงปู่ท่านเมตตาสอนว่า นั่นกราบแล้วไม่ถูกพระ แต่กราบถูกพื้นไม้กระดาน

แต่หากเรากราบพระ ด้วยจิตที่เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย
กราบด้วยความสำนึกในความดีและความเมตตาของพระพุทธองค์ที่เมตตาสั่งสอนธรรมไว้
อย่างนี้ละครับ หลวงปู่ท่านสอนว่า กราบแบบนี้ จึงจะถูกพระ

ที่มาpicture-28

เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ผู้อยู่เหนือกาลเวลา
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
เรื่องราวที่นำมาบอกเล่านี้ขอให้เข้าใจก่อนว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นราว ๓๐ ๔๐ ปีก่อน มัยนั้นท่านฤาษีลิงดำยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพดังเช่นทุกวันนี้ กลับกันท่านออกมาเทศเรื่องสมาธิในแนวติดฤทธิ์ คือ พูดเรื่องอภินิหารประหนึ่งเป็นของง่าย นิพพานใครก็ไปได้ง่ายจนน่าแปลกใจ ผู้ฅนในสมัยนั้นส่วนหนึ่งยังตำหนิคำสอนของท่านอยู่ไม่ร้อยเลย สมัยนั้นครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานหลายรูปยังนึกติ หรือคิดอยากพบหลวงพ่อฤาษีเพื่อทดสอบภูมิธรรมของท่านก็ยังมี รวมถึงศิษย์หรือผู้เคารพพระป่าหลายท่านยังนึกติ เรียกว่ารู้สึกไม่เคารพหลวงพ่อฤาษีลิงดำว่า **ท่านอวดฤทธิ์** พาลคิดติท่านถึงขั้นว่าเกินเลยรุนแรงทีเดียว กล่าวกันจริง ๆ เวลานั้นผู้ฅนที่เชื่อท่านก็มีมาก แต่ผู้ที่ไม่เชื่อก็มีมากเช่นกัน เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องเก่าขอให้เข้าใจก่อนดังนี้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
เมื่อราวสามสิบกว่าปีก่อนศิษย์หลวงปู่เดินหนกลุ่มหนึ่ง ศิษย์กลุ่มนี้ก่อนมาพบหลวงปู่เดินหน เคยเป็นศิษย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น เป็นศิษย์พระอาจารย์ฝั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เคยเดินทางไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในสายนี้หลายรูปมี หลวงปู่ขาว, พระอาจารย์จวน, หลวงปู่ชอบ, หลวงปู่ดูลย์, หลวงปู่ชอบ ฯลฯ ท่านที่เป็นต้นเรื่องนี้ชื่อ คุณชลัย เรืองวิเศษ เป็นผู้คุ้นเคยกับพระป่าสายกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยมากเรียบร้อยการเทศน์ไม่โลดโผน ต่อเมื่อมาได้ยิงเรื่องราวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านจึงไม่เลื่อมใสหรือให้ความสนใจด้วยไม่ถูกจริต แต่เพื่อนฝูงในที่ทำงานที่เดียวกันกับคุณชลัยเขานับถือ มักเล่าเรื่องของหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้ฟังต่าง ๆ ชมว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
โดยเล่าว่าเมื่อสตรีมีครรภ์เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วหากลูกในท้องเป็นชาย ยันต์นี้จะติดกะโหลกศีรษะเด็กนั้นออกจากท้องแม่มาเห็นชัดเจน เล่าอภินิหารมากมายทั้งยังนำเทปบันทึกเสียงเทศน์ และหนังสือของหลวงพ่อฤาษีมาฝากให้ศึกษา แต่คุณชลัยไม่ได้สนใจเชื่อถือแต่อย่างใด เพราะยิ่งฟังเรื่องที่ท่านเทศน์ยิ่งไม่อยากสนใจ เพราะท่านเทศน์แต่เรื่องเห็นเทพเทวดา คุยกับเทวดา เห็นพระพุทธเจ้า ไปแดนนิพพาน ไปแดนสวรรค์ ดูเกินจริงไม่นับถือเลย เพื่อนผู้นี้ยังนำพระเครื่องของหลวงพ่อฤาษีมามอบให้หลายองค์ รวมถึงพระบูชาของหลวงพ่อปานแบบพระแก้วใส ซึ่งปลุกเสกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คุณชลัยเมื่อได้รับพระมาก็นำไปวางไว้ที่ภายในห้องทำงาน ไม่สนใจนำกลับบ้านไปบูชาแต่อย่างใด
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
เรื่องราวขอท่านฤาษีลิงดำผ่านไปนานนับสิบปี คุณชลัยก็ไม่ได้สนใจลืมเลือนไปและไม่เคยสนใจไปกราบท่าน หรือสอบถามครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพถึงหลวงพ่อฤาษี เพราะความที่มีอคติในใจเลยไม่สนใจ จวบจนวันที่คุณชลัยเกษียณ อายุงาน ต้องย้ายของออกจากห้องทำงาน จึงได้ขนเอาพระที่อยู่ในที่ทำงานมาฝากไว้ที่อาศรมหลวงปู่เดินหน ถนนประชาชื่น ด้วยความที่ห้องพระที่บ้านพักของตนไม่มีที่วาง ต่อมาเมื่อหลวงปู่เดินหนท่านมาประทับทรงในวันหนึ่ง คุณชลัยจึงกราบเรียนขออนุญาตว่า ตนขอนำพระบูชามาฝากไว้ที่อาศรมของหลวงปู่ก่อนระยะหนึ่ง หลวงปู่ท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งท่านหันมากล่าวกับคุณชลัยว่า
............
หลวงปู่ : **พระที่นำเอามานั้นมีหลายองค์นี่ แต่มีพระแก้วซึ่งเป็นรูปพระสงฆ์ กับพระพุทธรูปสีแก้วใสอีกองค์ ทั้งยังมีพระปูนซีขาวปิดทองเป็นพระสงฆ์องค์ไม่ใหญ่นัก พระทั้ง ๓ องค์นี้เป็นพระดีมาก มีกระแสรุนแรงสว่างไสวเจิดจ้าดีมาก เอ็งขึ้นไปหยิบลงมาหน่อยซิเอาลงมา พระสามองค์นี้ไปไว้แอบ ๆ ข้างบนไม่ได้ ให้เอามาไว้ข้างล่างนี่ (หลวงปู่ท่านชี้มือไปที่ห้องพระบนศาลาเรือนไทข้างห้องทรง ห้องพระนี้เป็นห้องพระด้านล่างสำหรับศิษย์มากราบไหว้รูปหล่อหลวงปู่ ส่วนห้องพระด้านบนตึกเป็นห้องพระใหญ่ที่เก็บพระบูชาต่าง ๆ ทั่วไป)**
............
https://scontent.fbkk10-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-0/p403x403/12728853_524732171020774_4951650572045680851_n.jpg?oh=f918115c9fea0f67f8d2e3a60f80f1e8&oe=576833AA
คุณชลัยได้ฟังคำสั่งก็รีบขึ้นไปห้องพระชั้นบน เพื่อหยิบพระบูชาลักษณะตามที่หลวงปู่สั่ง ได้พระมาแล้วก็นำมาให้หลวงปู่ท่านดูว่าใช่ที่ท่านกล่าวถึงหรือไม่ หลวงปู่ท่านชี้นิ้วให้หยิบพระส่งมาให้ท่านว่าเป็นองค์ใดบ้าง เมื่อได้พระทั้งสามองค์มาครบแล้วท่านนำพระทั้ง ๓ องค์มาวางตรงหน้าท่าน แล้วหลวงปู่ท่านกล่าวว่า
............
หลวงปู่ : **พระทั้งสามองค์นี้ปลุกเสกโดยพระสงฆ์ ๒ รูปต่างสำนักกัน ซึ่งพระทั้งสองรูปนี้เป็นพระสงฆ์ที่มีบารมีสูงทั้งคู่ พระรูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณบารมีสูงมาก บำเพ็ญเพียรสั่งสมบารมีมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธกาลนานนับพันปีผ่านมาหลายชาติภพ ส่วนพระสงฆ์อีกรูปเป็นพระโพธิสัตว์บารมีสูงมากเช่นกัน พระทั้งสองนี้เป็นพระรุ่นหลังท่านมากก็จริง แต่เป็นพระดีมากทั้งนอกและใน
............
อันความดีนอกนั้นหมายถึง **เขามีวิชาดี มีความรู้ทำได้จริงทุกทาง**
............
อันความดีในนั้นหมายถึง **พระสงฆ์ทั้งสองนี้ต่างบรรลุธรรมขั้นสูงทั้งคู่**
............

พระสงฆ์ทั้งสองรูปนี้เป็นพระแท้บริสุทธิ์ทั้งนอกใน แต่กระนั้นพวกเจ้าอาจยังมีความสงสัยว่า ที่หลวงปู่ให้อัญเชิญพระทั้งสามองค์นี้มาทำไม ? ในเมื่อพระที่มีอยู่ในห้องพระก็มากมายเป็นร้อยองค์ แต่ที่ให้อัญเชิญท่านลงมาเพราะว่าผู้เสกเขาเสกเป็น ด้วยเขาอัญเชิญบารมีพระพุทธเจ้ามาทุกพระองค์ และพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมารับรู้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังแผ่บารมีประสิทธิ์ลงให้ด้วย และยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านก็เสด็จมาหมด พระอรหันต์มาครบทุกองค์ แม้นพระอริยะที่รอการสำเร็จอรหันต์นิพพาน ซึ่งอยู่ในโลกวิญญาณพรหมต่าง ๆ ท่านก็มากันครบเต็มพรึบหมด !! ที่ท่านมาก็เพื่อมาเสกพระดังกล่าวเรียกว่ามาประสิทธิ์ให้จนครบทุกทาง พระบูชาทั้งสามองค์นี้จึงเป็นพระสำคัญมาก เป็นของวิเศษในไตรภพเป็นที่เคารพบูชาทั้งมนุษย์, พรหม, เทพเทวดา, ภูติ, และวิญญาณทั้งหลาย

............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............https://scontent.fbkk10-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-0/p403x403/12728853_524732171020774_4951650572045680851_n.jpg?oh=f918115c9fea0f67f8d2e3a60f80f1e8&oe=576833AA

alt
พระทั้งสามองค์นี้หากตั้งบูชาในสถานที่แห่งใดก็ตาม หากมีเทพผ่านมาต้องแวะลงกราบ เทพที่อยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องมากราบพระทั้งสามองค์นี้ไม่มีขาด พวกกายทิพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าภูติ หรือนาค และวิญญาณทั้งหลายก้ต้องมากราบบูชาพระ ๓ องค์นี้อยู่เนืองนิตย์ ด้วยในโลกวิญญาณเขาเห็นปรุโปร่ง เขารู้ว่าการได้กราบไหว้บูชาสิ่งมงคลเช่นนี้ถือว่าเป็นบุญเป็นสิ่งดี พระทั้งสามนี้หากตั้งบูชาในบ้านบารมีของท่านจะแผ่ทั่วบริเวณ ภูตผีปีศาจอสุรกาย เขาเข้ามาในอาณาเขตไม่ได้ แต่เขาจะเห็นลำแสงที่พุ่งจากองค์พระ เขาเห็นแค่นั้นก็จะไหว้สาธุในบารมีของพระพุทธองค์ก็นับว่าได้บุญสมควรแก่เขา เพราะวิญญาณประเภทนี้สร้างกุศลยาก ต้องอาศัยอนุโมทนาบุญหรือเขาอุทิศเรียกมารับ จัดว่าน่าสงสารมากวิญญาณเหล่านี้ เขาจึงทำได้เพียงไหว้ลำแสงที่พุ่งออกจากพระพุทธรูปทำได้เท่านี้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
หลวงปู่จึงให้อัญเชิญพระทั้งสามองค์นี้เอามาได้ที่ห้องบูชาด้านล่าง เพื่อให้ศิษย์ที่มากราบหลวงปู่ได้กราบพระทั้งสามองค์นี้จะเกิดมงคลยิ่ง ๆ ขึ้นไป แม้นพระทั้งสามองค์ดูว่าเล็ก แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่มากประมาณ จะหาคำเปรียบเทียบไม่ได้เลยในความสูงส่งวิเศษนั้น ของที่ว่าสมเด็จพระสมณะโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันประสิทธิ์ว่าสูงในสามโลก แต่พระนี้พระพุทธเจ้าทุกกัปเสด็จมาประสิทธิ์ครบหมด สิ่งวิเศษสูงเยี่ยงนี้สมควรแก่การบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ได้กราบไหว้เป็นมงคลนัก พระนี้แม้นเทพเทวดาผ่านมายังต้องแวะเวียนมากราบ จะผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้ต้องไหว้นะพระที่สูงขนาดนี้ เอามาไว้ห้องพระข้างล่างนี้ให้ทุกฅนเขาได้กราบด้วยดีมาก
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
นี้คือคำที่หลวงปู่เดินหนเคยกล่าวถึงพระบูชาทั้งสามองค์ พระแก้วใสสององค์แรกเป็นพระพุทธรูปบูชาของวัดท่าซุง มีเขียนอยู่ที่ฐานพระว่าศิษย์หลวงพ่อปาน อีกองค์เป็นพระแก้วใสรูปหลวงพ่อปาน อีกองค์เป็นพระพุทธรูปของวัดท่าซุงเสกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ส่วนพระปู่ขาวปิดทององค์ที่สามทราบว่าปลุกเสกโดย หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ซึ่งคุณชลัยเมื่อได้มาก็ไม่เคยได้สนใจ ด้วยเป็นพระใหม่เขาให้มาก็เก็บ ๆ ไว้ไม่สนใจ เพราะไม่ได้นับถือหรือสนใจทั้งหลวงพ่อฤาษีและหลวงปู่ดู่
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
ในช่วงท้ายคุณชลัยถามหลวงปู่ว่า **ท่านฤาษีลิงดำนี้เป็นพระดีหรือเจ้าค่ะหลวงปู่ เพราะเห็นท่านเทศน์ว่าไปสวรรค์ ไปนิพพาน ท่านคุณกับเทวดาได้จริงหรือเจ้าค่ะหลวงปู่**
............
หลวงปู่ตอบว่า **เขาไม่ได้อวด แต่ที่เขาพูดดูง่ายเพราะเขาทำได้ และทำได้เป็นปกติ จึงพูดไปดูเป็นเรื่องธรรมดา เขาไม่ผิดวินัย เขาทำได้จริงนี่ ให้ว่าจะอวดคุณไม่มีในตนอย่างไร ? ในเมื่อเขาทรงอารมณ์อยู่ในสภาวะธรรมและทำได้จริง พระรูปนี้เก่งมากนะ ไปกราบขอขมาโทษจากท่านซะ เพราะเป็นกรรมนะ ที่ผ่านมาพวกเธอไม่ได้มาถามหลวงปู่ จึงไม่ได้ตอบชี้แจงให้รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร แต่วันนี้มาถามเลยบอกให้รู้ และควรรีบไปขอขมาซะโดยเร็ว นรกทั้งนั้น คิดติเตียนพระอริยะเจ้าแค่นี้ก็บาป มันเป็นมโนกรรมรุงแรงนะพระอริยะ ไปกราบขอขมาซะ หรือตั้งจิตขอขมาท่านที่หน้ารูปท่านก็ได้**
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
............
เรื่องที่หลวงปู่เดินหนพูดตอบนี้ คุณชลัยตกใจมาก เพราะตนเองลืมเลือนเรื่องราวนี้ไปแล้ว เพราะเวลาผ่านมานานนับหลายปี ว่าตนเคยติเตียนหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก่อน เมื่อหลวงปู่ทักเรื่องนี้จึงรับปากว่าจะรีบขอขมาท่าน ภายหลังศิษย์ของหลวงปู่เดินหนทุกฅน ทั้งตัวข้าพเจ้าเองที่ต่างได้ฟังเรื่องราวในวันนั้น จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ทั้งสองท่านเป็นพระดีบารมีสูงส่งมาก เพราะหลวงปู่เดินหนบอกว่า **ท่านเป็นพระดี** จึงนำเรื่องราวในอดีตที่เคยรับรู้ผ่านมา นำมาเล่าสู่กันฟังพอให้ทราบกันดังนี้
............
❀❀❀❀❀❀❀❀
สนใจบทความติดตามได้

ขอบพระคุณทุกท่านที่สนใจ •:*
❀❀❀❀❀❀❀❀
..........
เขียน / เรียบเรียง โดย : ฅนขลัง คลังวิชา
..........
Cr. ภาพประกอบบทความจาก
คุณเศรษฐีธรรม
เวปพลังจิต

ขอให้โลกนี้จงมีเเต่...ความดีงาม
ขอให้สิ่งชั่วร้ายเลวทรามทั้งหลาย...จงหมดไป
ด้วยอานุภาพของ
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

alt

แก้ไขล่าสุด (วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 06:14 น.)