พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้ พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วยธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งสังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด
※ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอบคุณ : FB ศูนย์พุทธศรัทธา
ตำนาน ทหารผี (สุดยอดทหารจากเมืองไทย)
ในสงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือ ได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือเอง และฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน
" ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า
1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน
2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบ หรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้
3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้ว อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว
4.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้ว ไม่มีปืนใหญ่ หรือนกยักษ์(เครื่องบิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ ทหารไทย "
ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือ ทีไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกองกำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้าย และการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว
เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตนามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมง ทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพ และบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย
การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้ และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุ สดุดีวีรกรรมของทหารไทย
ในครั้งนี้ หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนาม ยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย
ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน
เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทย ที่ปกปักรักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่าชนเสือพรานไทยนักรบชุดดำ ทหารไทยในยุคสงครามอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ
จากหนังสือพิมพ์ เสรีชัย LA.USA
อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก
เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง เคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้ว จากสงครามอินโดจีนที่กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง
พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน
ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่ง ไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็ก หรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาล หรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาว จากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ
พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ ทุกคนที่อยู่ในพิธี ต่างสะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ได้ ระงับไม่อยู่
ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิดมีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวงมาจากทุกสารทิศ ที่ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหารกล้าก็เถอะ
เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ
การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้า แล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับ พลตรีหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป
ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลองความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี
อันนี้พิสูจน์กันชัดๆอีกอย่าง ของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่ การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุกเสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่า มีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง
หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงาน แล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น
โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน
หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ
ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยงคงกระพัน ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่า แน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่า เรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน
เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความเหนียวแบบไร้เทียมทาน หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นคือ เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด
ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อ หรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่ หลวงพ่อชวน (โอภาสี) หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพัง หลวงพ่อจาด และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก
credit: thaifighterclub, jokergameth
ขอเชิดชูเหล่าทหารหาร ที่เสียสละเพื่อผืนแผ่นดินไทย ที่ทำให้เราได้มีที่อยู่จนถึงทุกวันนี้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เล่าเรื่อง
"การเสกพระ"
เรื่องมีอยู่ว่า ... ตอนท้ายชีวิตของ หลวงพ่อปาน (วัดบางนมโค จ.อยุธยา)
หลวงพ่อปานทำรูปของท่าน แล้วมีรูป "ยันต์เกราะเพชร"
ทำหลายพันผืน สำหรับแจกบรรดาพุทธบริษัทที่มีความต้องการ
หลวงพ่อปานไม่ได้สั่งพิมพ์เอง
เป็นนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์
คนนี้เรียน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า กับหลวงพ่อปาน
ทำจนมีผล ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จนเป็น "ฌาน"
คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ลูกหลานทั้งหลาย ถ้าใครจำได้นะ
ถ้าใครจำคาถาได้ ทำให้เป็นสมาธิ ทำให้เป็นฌาน มีผล ๒ อย่าง คือว่า
ถ้าเป็นฌานแล้ว ... ลาภสักการจะเกิดไม่ขาดสาย
ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องใด ๆ ไม่ค่อยจะมี
หากว่ามีขึ้นมา ก็มีการชดใช้
หมายความว่า ... หาทัน นี่เป็นประการ ๑
ประการที่ ๒ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า นี่เป็น "พุทธานุสสติกรรมฐาน"
มีผลยันให้ถึง พรหม หมายความว่า บันดาลให้เกิดเป็น "พรหม" ได้
แต่ถ้าหากใช้ "ฌาน" อันนั้นไปเจริญ "วิปัสสนาญาณ" ก็ไป ... "พระนิพพาน" ได้
ฉะนั้น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน
จึงไม่ใช่เป็นคาถาที่ปรัมปรา หรือไร้ผล
มีผลในชาติปัจจุบัน แล้วก็มีผลในชาติสัมปรายภพ
หากว่าบรรดาลูกหลานทั้งหลาย
ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน จนเป็น "ฌาน" ได้
ทุกคนก็จะไม่มีความยากจน เวลาตายก็มีความสุข
อยากจะไปนิพพานก็ไปได้
มีผลเสมอกัน เป็นคาถาของชาวบ้านโดยตรง
คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่อง "ผ้ายันต์"
ในเมื่อนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายตราใบโพธิ์
มาถวายหลวงพ่อปานจำนวนหลายพันผืน เมื่อเขาพิมพ์มาแล้ว
หลวงพ่อปาน ก็สั่ง "หลวงพ่อเล็ก (เกสโร)" ให้เอาผ้ายันต์ไปเสก
หลวงพ่อเล็กนำมาเสก ๓ เดือน
ถือว่าครบไตรมาสพรรษาหนึ่งพอดี
"หลวงพ่อเล็ก" นี่เราทราบกันอยู่ว่า ท่านได้ "สมาบัติ ๘" (รูปฌาน ๔ เเละ อรูปฌาน ๔)
แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้น สำหรับ วิปัสสนาญาณ นี่ ... จะได้อะไรฉันไม่ทราบ
ฉันไม่หลอกสิ่งที่จะรู้กันได้
ถ้าเราได้ถึงไหน ... เราก็รู้กันว่าคนอื่นเขาได้ถึงเพียงนั้น ที่เลยไปเราไม่รู้
ตอนนั้นฉันก็ยังทรง "สมาบัติ ๘" เหมือนกัน
แต่ว่าไม่ได้ฝึก "อภิญญา" ครบถ้วน
เลยกลายเป็นพระไม่ใช่อภิญญา นี่ฟังให้ดีนะ
สมาบัติ ๘ ก็อาศัย "กสิณ" กองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐาน
ไม่จำเป็นต้องใช้กสิณทั้งหมด ๑๐ อย่าง ใช้กสิณกองใดกองหนึ่ง เป็นพื้นฐาน
ยกเอารูปขึ้นมาตั้ง แล้วก็เพิกกสิณนั้นเสีย แล้วใช้ "อรูปฌาน" ขึ้นมาแทน
ถ้าทำได้ทั้ง ๔ อย่างก็เรียกว่า ทรงอรูปฌาน ๔ ได้ เป็น ฌาน ๘ ไป
นี่ฟังกันไว้เท่านี้นะ
หลวงพ่อเล็กได้ "ฌาน ๘" (สมาบัติ ๘) เลยกว่านั้น ... ฉันไม่รู้
เมื่อได้รับผ้ายันต์มาแล้ว ก็มานั่งเสก
เสกด้วยอำนาจของสมาธิ เข้าฌานสมาบัติ ๓ เดือน
เวลากลางคืน เสกกี่ชั่วโมงไม่ทราบ แต่ว่าไม่ใช่ว่าตลอดวันตลอดคืน
อย่านึกว่าตลอดวันตลอดคืน ๓ เดือน ไม่ลุก ไม่กินข้าวไม่กินปลา
นี่มันก็เกินคนไป ว่ากันตามแบบปกติ
ฟังเรื่องของพระนะ พอครบ ๓ เดือน
วันออกพรรษา หลวงพ่อเล็กเรียกฉันเข้าไป บอกให้แบกผ้ายันต์
ฉันคนเดียวมันแบกไม่ไหว ก็เอาไอ้เพื่อนอีก ๓ คน
มาช่วยกันแบกผ้ายันต์ มาถวาย "หลวงพ่อปาน"
ยังไม่ทันจะถึงเลย ห่างอีกประมาณสัก ๑๐ วาได้กระมัง
"หลวงพ่อปาน" เห็นเข้า ท่านโบกมือโบกไม้บอกว่า ...
ไม่เอา ๆ ยังไม่เสร็จ ยังไม่เสร็จ ยังใช้ไม่ได้
นี่ท่านร้องไป ก็เป็นอันว่า ... ไม่เอาเข้าไปให้ท่าน เอากลับ
ตอนนี้ "หลวงพ่อเล็ก" กลับมา ก็นึกในใจว่า ...
นี่เราทำขนาดนี้ ... ยังใช้ไม่ได้ ใครที่ไหนจะยิ่งไปกว่าเรานะ
เราเข้าถึง "สมาบัติ ๘" นี่ท่านบ่นนะ
เราเข้าถึง "สมาบัติ ๘" แล้วก็คลายสมาธิลงมาพิจารณา "วิปัสสนาญาณ"