การปฏิบัติสมาธิตามหลักธรรมชาติ
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
เทศนาโปรดอุบาสก อุบาสิกา ณ. เกาะมหามงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ 2535
นั่งสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือซ้ายวางลงบนตัก มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น กำหนดจิตรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก วิธีทำของพระพุทธเจ้า ทำอย่างไร มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเฉยอยู่ ลมหายใจเป็นธรรมชาติของร่างกาย ที่ว่าเป็นธรรมชาติของร่างกายก็เพราะว่าเราตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตาม การหายใจมีอยู่เป็นปกติทั้งหลับและตื่น จึงชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกาย พระองค์มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจด้วยอาการเบาๆ มีพระสติประคองจิตให้รู้ที่ลมหายใจเฉยๆ ไม่ได้แต่งลมหายใจ ไม่ได้บังคับลมหายใจ เพียงแค่รู้อยู่ แล้วก็ไม่ได้บังคับจิต ไม่ได้ข่มจิตให้สงบ ปล่อยไปตามธรรมชาติ หน้าที่ของพระองค์มีพระสติกำหนดรู้อย่างเดียว ในขณะที่จิตอยู่กับลมหายใจ พระองค์ก็ปล่อยให้อยู่อย่างนั้น ถ้าบางครั้งจิตทิ้งลมหายใจไปเกิดความคิดขึ้นมา พระองค์กำหนดรู้ความคิด ถ้าหากความคิดไม่หยุด พระองค์ก็ปล่อยให้คิดไปเพราะความคิดเป็นธรรมชาติของจิต หน้าที่ของพระองค์เพียงแค่มีพระสติกำหนดตามรู้ความคิดไปเท่านั้น พระองค์ปล่อยให้จิตของพระองค์อยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง เอาลมหายใจ ความคิด และความว่างเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ โดยปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการตกแต่ง แต่มีสติรู้ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย จิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พระองค์ก็มีพระสติรู้อย่างเดียว ไม่ได้บังคับจิต อันนี้คือวิธีฝึกสมาธิตามหลักของธรรมชาติ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ปฏิบัติมาแล้ว พุทโธก็ไม่ได้ว่า สัมมาอรหังก็ไม่ได้บ่น ยุบหนอ-พองหนอก็ไม่ได้ท่อง เพราะไม่มีคำที่จะท่อง คำ 3 คำนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด ยังไม่มีใครพาว่า ท่านชายสิทธัตถะเลยไม่มีคำที่จะมาท่อง เมื่อไม่มีคำใดที่จะมาท่อง ก็เอาลมหายใจที่มันมีอยู่โดยธรรมชาติกับความคิดเป็นอารมณ์ แล้วพระองค์ก็ทรงมีพระสติกำหนดรู้ ลมหายใจ ความคิด ความว่าง
ธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาก็ย่อมจะเพิ่มพลังงานเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุดจิตของพระองค์หันมายึดลมหายใจอย่างเหนียวแน่น พอจิตมายึดลมหายใจ เอาลมหายใจมาเป็นอารมณ์อย่างไม่ลดละ ไม่ยอมปล่อยวาง แล้วตามรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกอยู่อย่างนั้น ทีนี้การที่จิตมาตามรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกไม่ลดละ ได้ชื่อว่าสมาธิเริ่มเกิด กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ได้วิตก วิจาร เป็นอารมณ์ของฌานที่ 1 และฌานที่ 2 ทีนี้เมื่อจิตมีความดูดดื่มซึมซาบ ก็เกิดปิติเกิดความสุข เกิดความเป็นหนึ่ง ตามลำดับ
ในบางครั้ง ลมหายใจแผ่วเบาลงไป ละเอียดลงไปๆ บางครั้ง ลมหายใจก็ปรากฏหยาบขึ้นๆ หรือบางครั้งมองเห็นลมหายใจวิ่งออกวิ่งเข้าเหมือนท่อสว่างยาวๆ วิ่งออกวิ่งเข้า แล้วจิตก็กำหนดรู้อยู่เองโดยอัตโนมัติโดยที่พระองค์ไม่ได้ตกแต่งให้จิตเป็นไปอย่างไร ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของสมาธิแล้ว ในที่สุดในเมื่องลมหายใจละเอียดลงไปๆ จิตของพระองค์ก็ตามลมหายใจเข้าไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้จิตของพระองค์ไปรู้อวัยวะภายในร่างกายทั่วถ้วนหมดครบอาการครบ 32
อะยัง โข เม กาโยกายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลาเบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกาเบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโตมีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเยมีอยู่ในกายนี้
เกสา มีผม โลมา มีขน นะขา มีเล็บ ทันตา มีฟัน ตะโจ มีหนัง เป็นต้น
พระองค์ได้รู้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กายคตาสติสูตร ก็เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น ที่เราได้มาสวดกันอยู่เวลานี้
ทีนี้ในเมื่อจิตของพระองค์ไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย สามารถมองเห็นอวัยวะ รู้เห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายครบถ้วน อาการ 32 แล้วก็พุ่งรัศมีความสว่างไสวออกมารอบๆกาย เมื่อจิตไปรู้อยู่ในกาย มองเห็นอาการ 32 ครบหมด จิตก็ได้วิตก วิจาร
วิตก ก็คือ นึกถึงกายเป็นอารมณ์ เรียกว่า เจริญกายคตาสติ
วิจาร ก็คือ มีสติควบคุมจิตอยู่ในอัตโนมัติ
ในเมื่อจิตมีวิตก วิจาร มีความดูดดื่ม ซึมซาบ ก็เกิดอาการของปิติคือความเอิบอิ่มใจ
ปิติ เป็นอาการที่จิตดื่มรสพระสัทธรรม เมื่อจิตได้ดื่มรสพระสัทธรรม จิตก็มีความสุขความสบาย มีความสงบ บ่ายหน้าไปสู่ความสงบ ละเอียดๆเข้าไปทุกทีๆ จนกระทั่งในที่สุดความรู้สึกว่ามีกายค่อยๆจางหายไปๆ ในที่สุด กายหายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสว ลอยเด่นอยู่ในจักรวาลนี้ คล้ายๆ กับว่าขณะนั้นมีแต่จิตของพระองค์ท่านดวงเดียวเท่านั้น ลอยเด่นสว่างไสวอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างได้หายไปหมด แต่ว่าในขณะนั้นจิตดวงนี้อาศัยความสว่างเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัย เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น ฌานที่ 4 จึงได้ชื่อว่า จตุตถฌาน เป็นรูปฌาน
เมื่อจิตไปดำรงอยู่ในความสว่างพอสมควรแล้วก็ก้าวขึ้นไปสู่อากาสเรียกว่า อากาสานัญจายตนะ โดยกำหนดความว่างเป็นอารมณ์ ความว่างไม่มีที่สิ้นสุด ความว่างไม่มีประมาณ แต่ในขณะนั้นจิตไม่ได้นึกคิดอะไร แต่ว่ามันรู้อยู่ในจิต ทีนี้จิตก็มาสำรวมรู้เข้าในวิญญาณ เรียกว่า วิญญานัญจายตนะ เมื่อกำหนดวิญญาณตัวรู้ เวทนา สุข ทุกข์ ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ปรากฏอย่างละเอียดๆ ซึ่งถ้าไม่ใช่จิตของพระโพธิสัตว์ก็คงกำหนดรู้ไม่ได้ เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ สัญญา เวทนา ละเอียดเข้าไป จะว่าดีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่