postheadericon วิสาขบูชา วันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

ท่านพระคุณเจ้า ดาบส สุมโน เทศน์เนื่องในวันคล้ายวันวิสาขบูชา

 

เทศน์เมื่อวันวิสาขบูชา วันศุกร์ที่ ๔ มิ.ย. ๒๕๓๖

วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ในทุก ๆ พุทธันดร พระองค์ท่านก็จะประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานตรงกันในวันนี้ ตรงกันทั้ง ๓ สภาวะ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหมือนกันหมด จัดว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อคิดพิจารณามาถึงจุดนี้ สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนว่า

๑.รู้แล้วก็ไม่อัศจรรย์ ดูแล้วคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่มิใช่บังเอิญ เป็นพุทธปาฏิหาริย์ที่มีปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นปกติ และเพื่อให้พุทธบริษัทได้น้อมจิตระลึกนึกถึงได้ง่าย ทำบุญทำทานบูชาพระพุทธเจ้า ในวันสำคัญนี้ในคราวเดียวกัน

๒.เจ้าจงอย่าลืม บุญใหญ่ที่สุดคือการมอบกายถวายชีวิตน้อมจิตเข้ามาปฏิบัติบูชา นั่นแหละเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงต้องการ พระองค์ต้องการให้พระองค์เองพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสารฉันใด พระองค์ก็อยากจักให้พุทธบริษัทของท่านพ้นทุกข์ฉันนั้น

๓.อย่าลืมเน้นปฏิบัติบูชา เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเข้าไว้เป็นหลักใหญ่ หาความสุขสงบ ระงับเข้าสู่จิตให้มาก ๆ พิจารณาใคร่ครวญถึงการตัดสังโยชน์ให้มั่นคง

๔.เวลาทุกขณะจิตมีค่า อย่าทำใจให้เศร้าหมอง จิตจักได้มีกำลังคิดและพิจารณา สามารถจักปฏิบัติบูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๕.อย่าลืมคำว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ ซึ่งแปลว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธองค์ และศาสนาของพระพุทธองค์ตลอดชีวิต หมายถึง ปฏิบัติบูชาโดยไม่คิดชีวิต โดยมีจุดหมายแห่งเดียวคือพระนิพพาน

๖.หลักธรรม ๓ ประการอย่าลืม จักทำอะไร คิดอะไร พูดอะไรก็แล้วแต่ หมั่นทบทวนใคร่ครวญอยู่เสมอว่า ผิดไปจากศีล-สมาธิ-ปัญญาหรือไม่ ผิดไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คือ ละจากความชั่ว ทำแต่ความดี มีจิตผ่องใสหรือไม่ เพียงมีอารมณ์จิตเศร้าหมองหดหู่ ก็จงคิดว่าเราผิดไปจากคำสั่งของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์แล้ว ไม่ควรยังจิตให้เป็นเช่นนั้น จงรีบหาทางแก้ไขอารมณ์นั้นให้หมดไปจากจิตเป็นการด่วน ละเสียจากความเศร้าหมองโดยเร็ว

๗.ปฏิบัติบูชา ควรที่จักใคร่ครวญ หลักธรรม ๓ ประการนี้อยู่เนือง ๆ ตื่นเช้ามาก็ควรจัดตั้งอารมณ์ไว้เลย เราจักไม่ละเมิดศีล-สมาธิ-ปัญญา เราจักไม่ละเมิดหลักธรรมที่เป็นพระโอวาทปาฏิโมกข์ ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ (ละชั่ว-ทำดี-ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ) แล้วหมั่นพิจารณาอยู่เยี่ยงนั้นตลอดทั้งวันจนกว่าจะหลับ

๘.ธรรมารมณ์ใด ๆ มากระทบ ก็ดูอารมณ์จิตให้ทรงอยู่ในหลักธรรม ๓ ประการนี้อย่างมั่นคงด้วยดวงตาเห็นธรรม คือสร้างธรรมะจักษุด้วยความเป็นอนุพุทธะรู้เห็นสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นภายในใหม่ ๆ ก็จักเผลอหลงลืมไปบ้าง แต่ควรจักทำให้บ่อย ๆ ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็จักทรงตัวเป็นปกติ ยังจิตให้ละชั่ว ประพฤฒิดี-ทั้งยังจิตให้ผ่องใสตามลำดับ

 

นะโมตัสสะ  ภัควะโต  อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ ฯ
ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย  วันนี้ซึ่งก็เป็นวันเพ็ญวิสาขะฤกษ์ พุทธศาสนิกชน ถือกันว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ประสูติ  และเสด็จดับขันธะ พระปรินิพพาน ฉะนั้น วันสำคัญอันเวียนมา เหมือนกับวันนั้น  จึงควรเป็นวันอนุสรณ์ ที่ระลึกหรือ สักการะบูชา คือควรแก่การบูชา ซึ่งเรียกกันว่า วิสาขะบูชาบูชาทำอย่างไร ข้อนี้มันก็มีการกระทำหลายหลาก แต่อย่างๆไรก็ดี  ณ.ที่นี้  ก็จะไม่ขอกล่าวอธิบายอะไรมาก ก็เพียงแต่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า  พระสังฆเจ้า ที่พุทธศาสนิกชน พึงบูชานั้น จะมีผลอย่างใดหรือไม่  พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่  อันนี้ก็จะไม่มีใครจะสงสัย แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต ก็คือที่มีมาแล้วในอดีต เป็นเวลาล่วงมา 2000 กว่าปีจนถึงปัจจุบันนี้  2542 ปี  นั่นเราเชื่อกัน แน่นอนว่า  คือองค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า  ได้ตรัสรู้มาแล้ว  คือเป็นเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา  เราไม่สงสัยว่าไม่มี พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ที่สืบ  พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มา  จนตราบเท่าเราทั้งหลาย ได้เข้ามาบวช มาเรียนศึกษาใน พระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกวันนี้ ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  แสดงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระโคดมองค์นั้น  ก็ได้เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ในเมื่อพุทธศก 80 ปี  ท่านผู้ฟังทั้งหลาย  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ส่วนมาก ก็เข้าใจกันว่า ดับขันธ์พระปรินิพพานแล้ว ก็สูญไปแล้ว  ก็คงทิ้งไว้แต่ชื่อ ๆ  ตัวจริงไม่มีแล้ว หรือที่ว่า  พุทธะ  พุทธะนั้นไม่มีแล้ว  อันนี้ก็เป็นความเข้าใจเผินๆ  หรือเปลือกๆ  ของเราท่านทั้งหลาย หรือคนทั่วๆไป  เหมือนกับหนึ่งว่า  คนที่ตายไปแล้ว  จะมีแต่ที่ไหน ก็จะมีแต่เพียงชื่อเท่านั้น  ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย หามีแต่เพียงชื่อไม่  พระพุทธเจ้าที่เป็นจริง ที่ตรัสรู้ ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์นั้น  คือพระพุทธเจ้าตัวจริง แต่พระพุทธเจ้าที่ คลอดออกมาจาก พระครรภ์ของพระนางศิริมหามายานั้นเป็น  พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก  พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก  เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว  เขาเผาแล้ว  ก็เหลือไว้แต่พระอัฐธิ  หรือที่เรียกกันว่าบรมสารีริกธาตุ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย  พระพุทธเจ้าตัวจริง  ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธ์  คือโพธิญาณ ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์  ซึ่งเรียกว่าพุทธุปาโด พระพุทธุปาโดคือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่ใต้ต้นสลีมหาโพธ์  คือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ  ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์  อันนี้ใครแลไม่เห็น  คนทั้งหลายไม่มีใครเห็นก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าอันเป็นตัวเปลือก คือตัวเปลือกนอก ก็จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น มองไม่เห็น อันนี้คือเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง  พระพุทธเจ้าจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว  ก็ไม่ได้ดับไปไหน  เรียกว่าไม่ตาย ทรงเป็นพระอมตะคือไม่ตาย ไม่เกิด  ไม่แก่  ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ก็แม้พระพุทธเจ้าที่ว่านี้ เกิดทีหลังนี้ คือเกิดแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือเกิดแล้วบรรลุถึงพระนิพพาน อันนี้ยังดำรงอยู่ คือยังมีอยู่ จะพูดง่ายๆว่า กายนั้นตายไปแล้ว แต่ใจนั้นยังไม่ตาย กายนั้นตายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ใจนั้นไม่ตายใจนั้นยังมีอยู่  ก็คือหัวใจยังมีอยู่ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็หัวใจยังมีอยู่ยังไม่มีวันตาย อยู่ที่ไหน ก็เมื่อมีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายก็จะขอตอบเพียงง่ายๆ ก็คืออยู่ในที่ ทั่วๆไปนี้แหละ คืออยู่ในอากาศนี้แหละ อากาศมีอยู่ในที่ใด พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในที่นั้น คือไม่สูญ ก็เมื่อพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่สูญดังนี้ จึงพูดได้ว่า แม้ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ คุมอยู่ในที่ทุกแห่ง แต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง เรายกมือไหว้พระยกมือกราบไหว้ พระพุทธเจ้า แต่เราไม่เห็นตัว แต่แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ เรามองไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ บางทีเรายกมือ ไหว้พระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ยกมือเพียงสักแต่ว่าไหว้ เหมือนกับว่า ไม่มีผลอะไร เท่ากับว่าการไหว้ของเรานั้น ก็อยู่ด้านนอกไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้า เพียงแต่ยกมือพนม ขึ้นเท่านั้น แต่หากว่าเรายกมือพนมไหว้ แต่จิตใจของเราน้อมถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือการไหว้ ของเราไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงรับไหว้ของเราแล้วได้รับการบูชาของเราแล้ว ก็เป็นอันว่า การกระทำอันเป็นบุญ ที่เราท่านทั้งหลาย กระทำนั้น ย่อมมีผล คือย่อมปรากฏออกมา เป็นของจริง คือเป็นอานิสงค์ หรือเป็นผลในทางที่ดี จริงอย่างแน่นอน คือไม่สูญเปล่าฉะนั้นการสักการะบูชา  หรือการบูชาของเราท่านทั้งหลาย ที่สวดมนต์ เช้า ค่ำ ทุกวันนี้ ทำด้วยจิตใจอันนอบน้อม ด้วยจิต ด้วยใจ  ของเราแล้ว  ผลบุญ ก็ย่อมมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไหว้เปล่าเหมือนกับที่ว่า ตะกี้เพียงยกมือไหว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร ไหว้ของสูญ คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เพียงสักแต่ว่าทำ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้านั้นน่ะ เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น มีอยู่ทุกแห่ง  ที่บ้านของเราก็มี ที่วัดก็มี ที่สำนักใดๆมี ตามทุ่งตามนา  ตามป่าตามน้ำ ตามเขา ตามดอยก็มี เราไหว้ได้เสมอ  ถ้ายังไม่เชื่อแน่ ก็ขอไหว้พระบรมสารีริกธาตุไปก่อนก็ได้ พระบรมสารีริกธาตุก็เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นรูปธรรม รูปธาตุ
อันนั้นเห็นได้ด้วยตา ไหว้อันนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน  แต่เท่าที่กล่าวนี้ คือกล่าวด้วย กาย จริงของพระพุทธเจ้า  คือหัวใจของพระพุทธเจ้า นั้นมีอยู่ในที่ทั่วไป ทีนี้ก็มาพูดถึงว่า พระพุทธเจ้ามี เป็นเครื่องรับ สักการะบูชาของเราท่านทั้งหลาย
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือตลอดกาล เราท่านทั้งหลายก็มีโอกาส  ที่จะได้บุญจนกว่าชีวิตจะดับไป  หรือลมหายใจ จะดับลงไป เพราะไหว้ที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ ทีนี้ว่ากันถึง  เรื่องตัวตน หรือการท่องเที่ยว  ตามสังสารวัฎ   ตัวตนก็เป็นของมีจริง   ตัวตน อัตตาเป็นของมีจริง  คือสภาวะอันหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าคนนั้น  คนนี้ ที่ว่าเป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง นาย ก บ้างนย ข บ้าง  หญิงบ้าง  ชายบ้าง  หลังจากที่อัตภาพ  แตกสลาย ลงไปแล้ว   เขาเอาไปเผาทิ้งแล้ว   หรือเอาไปฝังในป่า ช้า แล้ว  แต่เราท่านทั้งหลาย  ที่ชื่อนั้น  ชื่อนี้  อันเป็นตัวข้างใน สภาวะข้างในอันนั้นยังไปตาย ไม่มีวันตาย  คือยังไปเกิดที่นั่น ที่นี่เรียกว่า เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่  แต่การท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่  ไม่ได้ไปตามลำพัง คือไปด้วยอำนาจ  การกระทำ   คือทำดี  หรือทำชั่ว ที่จะเป็นเครื่อง ติดตัวไปตลอดกาล การกระทำก็มี  อยู่ 2 อย่าง  คือกระทำในปัจจุบัน  กับ กระทำในอดีต กระทำในอดีตก็ส่งผลมาในปัจจุบันได้ กระทำในปัจจุบัน  ก็ส่งผลให้ปัจจุบัน แล้วก็จะไปส่งผลให้ในอนาคต  ต่อไปอีก ก็ชื่อว่าคนทั้งหลาย   สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามกรรมต่างกัน คือการกระทำ  ฉะนั้นการกระทำนี้แหละ มันเหมือนกับเป็นเงา ติดตัวไป ไปทุกหนทุกแห่ง คือไปทุกภพ  ทุกชาติ  ก็กรรมอันนั้นก็ติดไป ก็เวลาที่กรรมชั่วติดตามไป มันก็ให้ผลในคราวที่ เสวยความทุกข์ แต่ถ้ากรรมดีนั้นติดตามไปให้ผลเวลานั้น มันให้ความสุข ก็จะเสวยความสุขคือรับความสุขนั่นเอง  ฉะนั้นมากก็ตาม น้อยก็ตาม ผลที่ทำเหตุที่ทำแล้วนั้น  มันย่อมได้ทั้งนั้น คือย่อมได้ทั้งมากก็ได้   น้อยก็ได้ เพราะฉะนั้น  การทำความดี เป็นต้นว่าการให้ทาน แม้ที่สุด ให้แก่คนยาก คนจน  เพียง 10 บาท  การกระทำนั้นไม่สูญเลย   การกระทำนั้นไม่สูญ  แล้วก็ ชาติหน้า ยังได้ผลพิเศษคือยังมีดอกเบี้ย  ไม่ใช่ได้แค่นั้น   คือทำความดีไว้ทั้งหมดแม้ 10 บาท ถ้าทำไปแล้ว  ผลที่เราทำจะได้แค่ 10 บาทเท่านั้น  ก็หามิได้ ดอกเบี้ยก็เกิดตามมาอีกเยอะแยะไปเลย ก็เกิดตามขึ้นมาอีกมากมาย  เป็นร้อยเป็นพัน  เป็นหมื่น เป็นแสน จนชื่อว่าเป็นผู้ร่ำรวย ขึ้นมาได้ ก็เพราะความดีนั้น   เป็นของไม่ตาย  ติดตามไป เหมือนกับความชั่ว  ก็ไม่ตายเหมือนกัน ก็ติดตามตัวไปเหมือนกัน ทางที่ดี ก็อย่าให้มีความชั่ว มันติดตามไปชะเลย นั่นแหละเป็นทางที่ดี น้อยหนึ่งก็ไม่ควรจะมี ฉะนั้นความดี  นิดหนึ่งน้อยหนึ่งนั้นก็ควร  ที่จะทำให้เกิดมี เพราะว่าเกิดมีแล้ว  มันมีแต่ผลดี  ที่จะประดังเข้ามา หรือติดตามไปอยู่เสมอ ทีนี้ว่าถึงผลการท่องเที่ยว  ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า   คนเราตายไปแล้วท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ มันไม่ตาย ไอ้ตัวในนั้นมันไม่ตาย ก็จะขอยกเรื่อง   หรือนำเรื่องมาเล่า หรือมาแสดง เป็นตัวอย่าง  สักเรื่องหนึ่ง.... ก็มีในสมัยพระพุทธเจ้า โคตะมะเศรษฐี ๆ เป็นอย่างไร มีกรรมดี กรรมชั่วอย่างใด ที่กระทำไว้ และก็ท่องเที่ยวไปภพน้อย ภพใหญ่ เป็นอย่างไร ก็จะขอเริ่มต้นที่ โคตะมะเศรษฐีนี้ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่เมืองโกสัมภี ก็ในกาลครั้งนั้น คือถอยหลังไป โคตรเศรษฐีนี้ ก็ได้เกิดอยู่ที่เมือง กัสปะ คือเมืองๆหนึ่ง นายคนนี้ชือว่าโคโตริก ชื่อว่านายโคโตริก นายโคโตริก เขาก็มีครอบครัว อยู่ในเมืองนั้นแต่ว่าในเมืองนั้นเกิด ทุขกภัยขึ้น เกิดทุขกภัยขึ้นที่เมืองนั้น นอกจากทุขกภัยแล้ว ก็ยังมีพลังอื่นคุกคามด้วย เป็นต้นว่า อหิวาเกิดขึ้นด้วย เขาก็ไม่อาจที่จะอยู่ที่เมืองนั้นได้ ไม่มีอะไรจะกิน ก็ในเมื่อไม่มีอะไรจะกิน ก็เลย2 ตัวผัวเมีย สองสามผัวเมีย ลูกอีกคนหนึ่งก็เตลิด เปิดเปิง ออกจากบ้านนั้น ออกจากเมืองนั้นไปอาศัยข้างหน้า ก็แล้วกันทีนี้ก็เดินทางไปเดินทางไป มันก็ทุกข์ๆ ยากๆ มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ที่มีกินบ้าง ก็ขอข้าวเขากิน ด้วยการขอเขากิน ก็อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็เลยเป็นธรรมดา ก็เดินทาง ซอกซอนไปแดนไกล ทั้งลูกอีกคนหนึ่ง ก็ผลัดกันอุ้ม ผลัดกันเดิน ก็จะทำอย่างใดเล่า ก็ในเมื่อเกิดมันมาแล้ว ก็จะทิ้งมันเสียก็ไม่ควรใช่ที่ แต่ว่าหนักเข้า ๆมันก็ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด 2 ผัวเมีย ก็จะเอาตัวไม่รอด จะกินก็ ไม่มีกิน อดข้าวอดน้ำ ในที่สุดผัวก็เลยคิดว่า เราเอาตัวรอดชะก่อนดีกว่า เราทิ้งลูกของเราชะ เสียดีกว่า หรือทะว่า เมื่อเราทิ้งลูกของเรา หรื่อว่าลูกของเราตายไป เราทั้ง 2 ยังมีอยู่เราก็ อาจจะมีลูกได้ ก็ผัวก็ปรึกษาเมีย อย่างนี้ ไอ้เมียก็ไม่ยอมทิ้ง เมียไม่ยอมทิ้ง ก็อ้างว่าทิ้งไม่ได้ อย่างไรๆก็ขอนำไปกว่าจะถึงที่สุด ก็เดินทางเข้าไป ก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ก็ไปพักที่ต้นไม้ ขอนไม้ต้นหนึ่ง เด็กน้อยก็หลับไป ก็ผัวก็อุ้มไว้ ก็เวลาก็เวลาก็จะไม่คอยท่า จำเป็นก็จะต้องเดินทางต่อไป ไอ้ผัวก็บอกกับเมียว่า เอ้าเธอเดินออกไปก่อนฉันจะเดินตามไปทีหลัง ไอ้เมียก็ตรงไปตรงมา ก็เลยเดินทางออกไปก่อน ผัวจะเดินตามออกไปทีหลัง ก็ผัวยังประคับประคองลูกน้อยอยู่ เมียก็เดินทางไปก่อน ผังอยู่ตามหลัง พอเดินไปซักพักหนึ่ง คิดว่ามันก็เป็นเวลา พอสมควร ที่เราจะติดตามไปได้ แท้ที่ไหนได้ผัวนั่น ถือโอกาส ทิ้งลูกเสียไว้ที่นั่น ถือโอกาสทิ้งลูกน้อยเสียที่นั่น แล้วก็ติดตามเมียไป ติดตามเมียไปถึงไปทันพอไปถึงไปทัน เมียเหลียวมาดู อ้าวลูกของเราไปไหนเล่า ศรัทราญาติโยม ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เอาลูกของฉันไปไว้ที่ไหนเล่า เอาฉันเอาไปวางไว้ที่โน้นเอาวางไว้ที่ใด ฉันไม่ยอมหรอก จะต้องไปตามเอากลับมา เธอต้องไปส่งฉัน ก็กลับไปทีนี้กลับไป ถึงที่เก่า ที่ทิ้งลูกไว้ ไม่ได้ลูกก็ตายไปแล้ว ก็ในเมือลูกตายไปแล้วเมียก็เศร้าโศกเสียใจ ยังทำอะไรไม่ได้ เรียกร้องให้ลูกคืนมามันก็ไม่ได้ ตายไปซะแล้ว ที่สุดก็เลย ชวนกันเดินทางต่อไปข้างหน้า ศรัทราท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็พากันเดินทางต่อไปข้างหน้า จนสุดวันสุดคืนไปทะลุบ้านเมือง บ้านเมืองหนึ่ง เข้าถึงบ้านถึงเมือง  ก็คงจะเป็นเมือง โกสัมภี หรืออะไรเนี่ย ทีนี้ก็ไปทะลุบ้าน ทะลุเมือง
ถึงเวลาก็ขออาหารกิน แต่วันนั้นวันที่ขอเขากิน นั้นมันก็เป็นบ้านของนาย โคบาล เป็นบ้านของนายโคบาล คือเลี้ยงโคไว้เยอะแยะเลยเลี้ยงไว้ขายนม เลี้ยงไว้กินนม ทีนี้ก็นายโคบาลเขาเป็นคนใจบุญ เขาก็ทำบุญอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งขอนิมนต์ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า มารับอาหารบิณฑบาต ที่บ้านทุกวันในตอนเช้า  ทีนี้สองคนผัวเมีย ก็ได้กินอาหารที่นายโคบาล เอ็นดูให้  นายโคบาลก็ถามเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร  เมื่อรู้แล้วก็เกิดความสงสารเอ็นดู จึงนำอาหารมาให้กิน ก็เมื่อนำอาหารมาให้กิน  มันก็เป็นอาหารชั้นดี  อาหารชั้นเลิศ เพราะอาหารในบ้านของเขานั้นเป็นยอดอาหาร ผสมด้วยนมด้วยเนย ด้วยเครื่องเทศชั้นดี ของดีทั้งนั้น อร่อยรสดีทุกอย่างเขาก็ให้ทาน แต่ทีนี้สองคนผัวเมีย เมื่อได้กินอาหารนั้นแล้ว ก็กินเหมือนกับว่ามันไม่อิ่มสักที  แต่เมียนั้นก็เห็นว่าอาหารเขามาให้กิน ก็กินพอสมควรตัวเองกินไม่มากนักก็ให้ผัวกินเสีย คิดว่าผัวมีชีวิตอยู่เหมือนกับว่า  เมียก็จะมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน ถ้าผัวไม่มีชีวิตอยู่เมียก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ก็เพราะฉะนั้นจึงมอบให้ผัวกินมากกว่าตัว ทีนี้ไอ้ผัวก็เลยกินมากกว่าตัวไป  ผัวก็เลยกินชะอิ่ม แต่เมียกินพอประมาณ พอตกค่ำเข้า ดึกเข้าไอ้ผัวมันอาหารมันไม่ย่อยในท้องก็เพราะกินมากเกินไป  และก็อดมาเสียเป็นอาทิตย์ ๗ วัน๗ คืนไม่ได้กินอิ่ม กินดีนั้น  ก็เลยมากินชะท้องบาน ก็ไม่ใช่ท้องแตกตายหรอก  แต่เพราะว่าธาตุมันไม่ย่อย  ธาตุมันย่อยไม่ไหวไม่ทัน  ก็เป็นอันว่าผัวก็เลยตาย ตายแล้วเมียก็ต้องจัดฌาปณกิจศพ ให้แก่ผัว  ทีนี้ไอ้ผัวก็ตายไปแล้ว เราก็เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ทีนี้ก็จะไปพึ่งใครเล่า  นายโคบาลเจ้าของบ้านก็มีความเอ็นดู เออก็อยู่กับเราไปนี้แหละ อาศัยว่าไปทำงานในบ้านของเราไป  ให้กินเราจะเลี้ยงจะดู  นายโคบาลก็เลยขอดูแล  ให้อุปถัมภ์ภรรยาของเขา ให้ทำงานอยู่ในบ้านนั้นนะไม่ต้องไปที่อื่น ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ทีนี้เมียนั้นก็ยินดี เออก็ดีแล้วอยู่ในนี้ก็ได้กินอยู่ไปวันๆ  เราช่วยทำงานก็เป็นการได้บุญ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มาทุกวันๆ เราสีข้าว เราตำข้าว เราร่อนข้าว เราหุงข้าว อะไรเหล่านั้น เราก็จะได้บุญด้วย เมื่อเช่นนั้น เมียของเขายัง พยายามรวบรวมข้าวได้ ๑ ทะนาน แล้วก็มีโอกาส ก็ยังทำของตัวอีกประเภทหนึ่ง ถวายอาหารเป็นสังฆทาน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า  ก็เพราะบุญอันนี้ เป็นอานิสงค์มากมายทีเดียว  ก็ตายไปก็เป็นไปตามอำนาจของบุญ ของกรรมที่ว่านี้แหละ ก็ทีนี้ว่ากันถึงสามีที่ตายไปแล้ว ร่างมันก็ตายไปแล้ว เขาก็ทำศพฌาปณกิจศพ  ตายไปแล้ว สวดไปแล้ว แต่ทว่า ทำไมมันไม่สูญ ผัวก็ไปเกิดเป็นลูกหมา ลูกสุนัขอยู่ที่บ้านนั้นเองอยู่ที่บ้านนายโคบาลนั้นแหละ เพราะว่านายโคบาลนั้นนะมีหมาเลี้ยงๆ และเป็นหมาตัวเมียแล้วก็ เห็นหมาแม่ ก็เลยจิตใจติดอยู่ที่การกินดีๆของหมานั้น หมาแม่กินดีอย่างนี้หนอ เราหากินดีๆยังไม่ค่อยได้  ไอ้คิดแค่นั้นแหละจิตใจมันเข้าไป ปฏิสนธิ คือเข้าไปเกิดในท้องของหมาแม่ ก็เลยเป็นลูกสุนัขไปเสียแล้ว คนกลายเป็นหมาไปเสียแล้ว ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายตอนนี้ยังไม่มีบุญ คือจิตใจนั้นตกต่ำไป ตกต่ำไป ก็ไปเกิดเป็นหมา ทีนี้เมื่อเกิดเป็นหมาแล้ว เมื่อเกิดเป็นหมาอยู่ในบ้านของนายโคบาล นายโคบาล ทำบุญทุกวันๆ ก็เลยอุปถัมภ์หมาตัวนั้นเสีย เลี้ยงหมาตัวนั้น มันเข้าใจภาษา เพราะไปเกิดในทันใด แล้วมันก็เข้าใจคำพูดของนายโคบาล นายโคบาลก็ให้หมาตัวนั้นช่วยทำงานไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านไปก็ให้ไปส่ง เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก็ให้ไปรับ  อันหมาก็เลยเป็นหมาที่จงรักภักดี ต่อผู้อุปการะเป็นบุญแก่หมาที่ได้มีจิตใจต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อเมื่อพระปัจเจกพระพุทธเจ้า จะไม่ได้มา เพราะต้องไปทำจีวรที่อื่น พระปัจเจกพุทธเจ้าก็บอกนายโคบาลว่า จากหนนี้ไปอาตมาจะไม่ได้มารับบินฑบาตรแล้ว จะไปทำจีวรที่อื่น แต่หมาก็ยืนฟังอยู่ หมาเมื่อยืนฟังอยู่ก็รู้ความ  ก็พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลาอุบาสก โคบาลนั้นไป หมานั้นก็ไม่ยอมให้ไป หมานั้นรู้ความไม่ยอมให้ไป หมาก็วิ่งไปขวางข้างหน้า วิ่งไปทางนั้น ทางนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะไปจริงๆก็ไปดึงเอาปากไปคาบจีวรไว้ ดึงไว้ไม่ให้ไป แต่อย่างไรก็ดี มันก็ขัดขวางพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปในอากาศไปยังที่สมปรารถนา หมาตัวนั้นก็อาลัย อาวรณ์มันก็เลยอกแตกตาย เรียกว่าหัวใจแตกสลาย ไอ้หัวใจแตกตาย ก็จะไปที่ไหนเล่า ทีนี้  หัวใจจิตใจข้างใน ไปจากไอ้หมาตัวข้างนอก ทีนี้ทำไง ไอ้จิตใจตัวมันยังไม่ตายอีกนั่นแหละ ครั้งเมื่อนายโคโธริกนั้นตายไปเป็นหมา ก็ไปอยู่ในร่างของหมานั้นแล้วทีนี้ ร่างหมานั้นตายไปโคโธริก ตัวนั้นก็ไปเกิดสวรรค์ เมื่อไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็มีเทพบุตรมีเทพอัปสรณ์แวดล้อม ๑๐๐๐ มีความสุขอย่างมาก เพราะบุญที่ได้กระทำไว้โดยที่เป็นหมา ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ทีนี้ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร ก็เป็นเทพบุตรที่เลื่องชื่อลือชาอยู่  เพราะว่าเมื่อคราวเป็นหมานั้น บุญนั้นเกิดจากการต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า บุญนั้นก็ได้แผ่อานิสงค์ไปทั่ว เขตเทวสถาน ด้วยเสียงที่ก้องกังวานประกาศ  ยามเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชาวสวรรค์ทีนี้เทพบุตรนั้นก็เสวยสุขอยู่ในเทวสถาน ก็ไม่นาน ไอ้ที่ไม่พอนานก็เพราะว่าสิ้นอายุก็บุญน้อยหมดบุญ ก็เลยจุติลงมา ก็ลงมาเกิดในท้องของแม่หญิงโสเภณี มาเกิดในท้องของแม่หญิงโสเภณี ก็ต่อเมื่อครบ ๑๐ เดือนหญิงโสเภณีนั้นก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้ชาย ก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้ชาย นางโสเภณีรู้ว่าได้บุตรเป็นผู้ชายก็เลยให้สาวใช้ เอาไปขว้างทิ้งเสียที่กองขยะ ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากรรมอันนั้นตามมาอีกแล้ว กรรมที่เมื่อเป็นโคธูลิกนั้น ที่ไปทิ้งบุตร ของตัวนั้นนะ เดี๋ยวนี้ตามมาทันแล้ว แท้ที่จริงท่านโคธูลิกก็เกิดมาเป็นลูกของนางโสเภณี เขาเวียนว่ายอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ เขาต้องถูกท้องทิ้ง  ทีนี้ก็เมื่อเกิดเป็นลูกโสเภณี แต่ว่าบุญของเขาก็ยังมีอยู่ ยังสนับสนุนอยู่ เอาไปขว้างทิ้ง เขาก็ยังไม่ตาย เขาก็ยังไม่ตาย มีคนไปเจอเข้า มีคนไปเจอเข้า คนนั้นก็เกิดความรักขึ้นมา ก็เลยเก็บเอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม แต่ทีนี้เมื่อเก็บไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ก็มีเศรษฐีตามมา ตามหาอยากได้ลูกบุญธรรม เอาไปไว้เลี้ยงเป็นลูกของตน และมาตามหาว่า ถ้าใครมีลูกเกิดวันนั้น วันนี้  ถูกต้องอย่างนั้น อย่างนี้ ก็จะได้เป็นเศรษฐีด้วย เศรษฐีจึงให้ไปตามหา ก็เลยไปขอซื้อเอา ๑๐๐๐ กะหาปะนะ ก็เลยไปขอซื้อมาเอาเสีย ก็เพื่อจะเป็นลูกของตน  แต่ทีนี้ ลูกของตนก็ยังไม่ได้เกิด แต่ลูกของตนมาเกิดทีหลังเกิดเป็นผู้ชายขึ้นมาอีก  ก็เลยไม่ปรารถนาลูกบุญธรรม  คิดว่ามันจะมาเป็นตำแหน่งเศรษฐีแทนลูกเรา ก็เลยคิดฆ่าเสีย ก็เอาไปทิ้ง ทีนี้ก็ให้คนใช้ เอาไปทิ้งที่คอกวัวที่มันออกคอกแต่เช้า ก็จะให้โคมันเหยียบเสียให้ตาย แต่วันนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้นคือโคสุราช มันรู้หรืออย่างไรก็ไม่รู้ มันก็ออกไปก่อน มันก็ออกไปยืนค่อมเสีย ไอ้ตัวอื่นจะมาเหยียบย่ำก็ไม่ได้ ก็เลยต้องเบียดเสียดกันออกไป  วัวตั้งพันตัวอย่างนี้ มันก็ไม่ยอมเคลื่อนที่ ตัวอื่น ๆก็แซกออกไปๆ จนหมดแล้วมันจึงเดินไป  ไอ้คนที่เอาไปทิ้ง เอาไปให้เหยียบนั้นมันก็ดูอยู่ มันก็กลับมาบอกเศรษฐี เศรษฐีก็ซื้อ มาอีกให้เอามาใหม่ ให้เงินใหม่ ถ้ามันยังไม่ตายอย่างนั้นให้เอา มาใหม่ ทีนี้ก็เลี้ยงไปเลี้ยงไปๆไม่กี่วัน เศรษฐีก็ให้เอาไปทิ้งที่ทางล้อ ทางเกวียนเสีย คิดเหมือนเดิมอย่างว่านั่นแหละ โคก็ไม่เหยียบ ล้อเกวียนก็ไม่ทับมันก็เป็นอัศจรรย์ เพราะบุญเก่าเขาให้ผล ทีนี้คนที่ทิ้งมันก็คอยดูอยู่ไปบอกเศรษฐี เศรษฐีก็ไปเอามาอีก เศรษฐีก็ยังไม่ยอมละ ความพยายามให้เอาไปทิ้งที่เหว แต่มันก็ไม่ตายอีกนั้นแหละ  จนทีหลังมาก็ให้ไปเอาไถ่ตัวมาจากคนป่า ที่เก็บเอาไปเลี้ยง ทีนี้ตอนหลังมาก็คิดจะเอาไปฆ่าอีก  ก็เลยฆ่าไม่ได้สักที ครั้งสุดท้ายหรือวาระสุดท้ายนี้ก็ส่งไปเอาจดหมายให้ไป เพื่อเอาไปฆ่าบ้านส่วยร้อยบ้าน ให้ไปบ้านส่วยร้อยบ้าน ก็เพราะบ้านส่วยนั้นมันก็เป็นลูกน้องของเศรษฐีนี่เอง จึงเขียนจดหมายฝากไปให้เขาฆ่า ว่ามาถึงเมื่อใด ก็ฆ่าเมื่อนั้น ก็อ้างในจดหมายว่าเป็นคนกาลกิณี ทำร้ายตระกูลเป็นคนชั่วชาติ เป็นคนไม่ดี รูปพรรณต่างๆ ท่านผู้ฟังทั้งหลายก่อนที่จะเอาไปบ้านส่วยร้อยบ้าน ก็เขียนจดหมายฝากลูกชาย สั่งว่าอย่าให้ใครเขาดูนะ ไปตามทางใครรู้ไม่ได้นะ เพราะโคริกะเองก็ไม่รู้หนังสือ เป็นคนที่ไม่ได้ร่ำไม่ได้เรียน ทีนี้ก็เดินทางไป เศรษฐีก็ไม่ให้อาหารเสียด้วย ก็ว่าอาหารนั้นให้ไปเอาที่บ้านของเพื่อนเราเถอะ เพื่อนเราก็เป็นเศรษฐีอยู่ที่นั้น  การเดินทางวันหนึ่ง ก็พอดีละ ก็ไปกินอาหารที่บ้านเพื่อนเรา ให้ไปถามหาบ้านเพื่อนเราก็แล้วกัน โคธิกะ ก็ออกเดินทางไป ไม่รู้เลยว่เขาหลอกไปฆ่า ในที่สุดก็ไปถึงที่บ้านเศรษฐี กลางทาง เพราะเศรษฐีใช้ให้ไปที่นู้น สุดทางนู้น แต่ให้พักที่นี้ก่อน พอถึงบ้านเพื่อนเศรษฐี ก็ให้พักกินข้าวกินน้ำ โคธิกะ ก็เผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อหลับไปตื่นขึ้นมาก็รีบเดินทางออกไปจนถึง สุดทางบ้านส่วยร้อยบ้านมีจดหมายที่ตัวจะต้องตาย ก็นำเอาจดหมายนั้นให้เจ้าบ้าน นายส่วยร้อยบ้าน ว่ามาถึงเมื่อใดก็ให้ฆ่าเสียเมื่อนั้น มาถึงกลางวันก็ให้ฆ่ากลางวัน มาถึงกลางคืนก็ให้ฆ่าเสียกลางคืน ทีนี้พอจดหมายถึงนายส่วยร้อยบ้านเปิดจดหมายอ่าน ดูมันไม่เป็นอย่างที่เศรษฐีเขียนมา เพราะที่เศรษฐีเขียนนั้นมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ทีนี้ที่ไปเปิดอ่านดูนั้นมันว่า ให้จัดงานแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี เพื่อนของเราให้จัดงานแต่งงานกันเสีย ให้สร้างบ้าน ยกเรือนขึ้นเป็นสองชั้น มีกำแพงล้อมรอบ มีคนงาน คนใช้อะไรต่อมิอะไร พร้อมเพรียง ที่ลูกสาวเศรษฐีต้องการนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นไปเสีย ฝ่ายพราหม์ก็เลยจัดการทำพิธีเสียใหญ่โต ก็เพราะเศรษฐีสั่งมาอย่างนั้นๆ เมื่อเสร็จงานแล้วก็จะได้ค่าตอบแทนอย่างสมใจ ทีนี้ก็จัดงานแต่งงาน ยกบ้าน ยกเรือน ห้องหออย่างดี ทำพิธีแต่งงานกันเรียบร้อย กับลูกสาวเศรษฐีที่อยู่กลางทางนั้น ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย คิดอย่างไรเล่าทำไม หนังสือมันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่อื่นไกลหรอก ไม่ไช่อื่นไกลที่ไหน ก็เพราะลูกสาวของเศรษฐีที่อยู่ในบ้านนั่นเองนี่แหละ คือในบ้านระหว่างทางนั่นแหละ มาเปลี่ยนจดหมาย เสียคือแก้ไข จดหมายเสียถ้ามาถึงกลางคืน ก็ให้ฆ่ากลางคืนเมื่อมาถึงกลางวัน ก็ให้ฆ่ากลางวันนั่นแหละ มันเขียนว่าถ้ามาถึงเมื่อใดก็ให้จัดงานแต่งงานเมื่อนั้น มันหมายความว่าอย่างนี้ แล้วก็เขียนรายละเอียดว่า ให้จัดการอาคารที่อยู่สร้างบ้าน สร้างเรือนมีบริวาร ข้าวของเครื่องใช้อะไรต่อมิอะไรอย่างนี้ เขียนติดตามไปในจดหมายด้วย โคธิกะก็ไม่รู้เรื่องว่าจดหมาย เขาว่าอย่างไรก็ให้ไปตามนั้น ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ลูกสาวเศรษฐีนั้นก็ไม่ใช่ใครหรอก ก็คือเมียเก่าของเขานั่นเอง ที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนสุข เดินตามกันมาออกจากบ้านเมืองมัลกะ เมื่อหนหลังนั่นแหละ เมื่อคราวที่เกิดทุกข์ภิกภัย เมื่อคราวที่เป็นนาย โคธุลิก อันนั่นแหละ เขาเป็นผัวเป็นเมียกัน แล้วทีนี้โคธูลิกก็ตายไป ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร แล้วเมียเขาก็ตายไป เวียนไปเวียนมาก็มาเกิดเป็นลูกสาว เศรษฐีที่อยู่กลางทางนั้น ลูกสาวเศรษฐีแอบมาเปลี่ยนจดหมาย แอบมาเปิดดูจดหมายว่าเอ๋เจ้าชายคนนี้ เจ้าหนุ่มคนนี้มันถือจดหมายไปฆ่าตัวเอง ก็เกิดความสงสารเอ็นดูเกิดความรักก็เลยแต่งจดหมายแก้ไขจดหมาย นั้นเสียหากท่านผู้ฟังทั้งหลายจะถามว่ามันไม่บาปหรือ มันก็เป็นเรื่องของทางโลก เขาคิดว่าช่วยชีวิตคนดีกว่าฆ่าคนเขาคิดอย่างนั้น ก็มาแก้ไขจดหมายนั้นเสีย คราวหลังมาก็เลยได้แต่งงานกันขึ้นมา ก็มาอยู่ร่วมกันอีก อันนี้แหละโคธิกะ เมื่อได้แต่งงานมาก็ได้เป็นเศรษฐี โคธิกะนั้น เมื่อแต่งงานแล้วก็ได้กลับมาเป็นเศรษฐี มารับเอาสมบัติเก่าที่เศรษฐี คนที่พยายามฆ่านั้นเขาได้เสียชีวิตลง ในที่สุดก็ได้กลับมาเอาสมบัติเก่า อีกสมบัติใหม่ก็ได้ สมบัติเก่าก็ได้ ก็ได้เป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองโกสัมภีเมื่อได้เป็นเศรษฐีแล้วตอนหลังมาก็ได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้สำเร็จเป็น พระโสดาบัน ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ที่เขาถูกทอดทิ้ง เขานำไปทิ้งเศรษฐีพยายามฆ่า อะไรเหล่านั้น ก็เพราะว่ากรรมของเขาที่ได้ไปทิ้งลูกเมื่อคราวได้เป็นโคธูลิก แต่ว่าบุญของเขาก็ได้สนับสนุนตามมาก็เพราะว่าได้ไปอุปการะต้อนรับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนเมียก็ได้บุญที่ไปทำงานในเรือนของนายโคบาล ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย เขาก็ได้ไปเกิดเป็นลูกของเศรษฐี เสวยสมบัติอันนั้นแหละ ก็ที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อได้ กล่าวมาโดยย่อๆ ก็เพื่อให้เห็นว่า การท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ เวียนเกิดเวียนตาย เกิดตายนั่นละ มันมีจริง คือว่ามันมีตัวตน เพราะฉะนั้นการทำความดี คนเราก็ได้ผลดี ผลดีสนับสนุนตามไป ทำชั่ว ความชั่วก็ติดตามไปเหมือนกัน ก็เป็นอันว่า วันนี้พระคุณเจ้าได้กล่าวมาถึงเรื่อง การบูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้น พระพุทธเจ้าก็เป็นพระรัตนตรัย เป็นดวงแก้วอันประเสริฐที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เป็นของนอกกายนอกใจ ผู้ใดละลึกถึง ผู้ใดกราบไหว้ บุญก็ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นแก้วอันประเสริฐที่มีอยู่ในโลกนี้ บุญนั้นมี กรรมนั้นมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมี ความดี ความชั่วที่คอยติดตาม ไปนั้นก็มี พระนิพพานนั้นก็มี เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง พระคุณเจ้าก็ได้แสดงมาย่อๆมันก็ย่อจนบางท่านฟังไม่ประติด ประต่อก็ได้ แต่ว่ามันมีความจำเป็น เพราะจะต้องสรุปลงเพื่อให้เวลานั้นพอสมควร ก็ขอยุติการแสดงลงโดยย่อด้วยประการละฉะนี้

 

alt

นะโมตัสสะ  ภัควะโต  อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ ฯ
ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย  วันนี้ซึ่งก็เป็นวันเพ็ญวิสาขะฤกษ์ พุทธศาสนิกชน ถือกันว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ประสูติ  และเสด็จดับขันธะ พระปรินิพพาน ฉะนั้น วันสำคัญอันเวียนมา เหมือนกับวันนั้น  จึงควรเป็นวันอนุสรณ์ ที่ระลึกหรือ สักการะบูชา คือควรแก่การบูชา ซึ่งเรียกกันว่า วิสาขะบูชาบูชาทำอย่างไร ข้อนี้มันก็มีการกระทำหลายหลาก แต่อย่างๆไรก็ดี  ณ.ที่นี้  ก็จะไม่ขอกล่าวอธิบายอะไรมาก ก็เพียงแต่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า  พระสังฆเจ้า ที่พุทธศาสนิกชน พึงบูชานั้น จะมีผลอย่างใดหรือไม่  พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่  อันนี้ก็จะไม่มีใครจะสงสัย แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต ก็คือที่มีมาแล้วในอดีต เป็นเวลาล่วงมา 2000 กว่าปีจนถึงปัจจุบันนี้  2542 ปี  นั่นเราเชื่อกัน แน่นอนว่า  คือองค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า  ได้ตรัสรู้มาแล้ว  คือเป็นเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา  เราไม่สงสัยว่าไม่มี พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ที่สืบ  พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มา  จนตราบเท่าเราทั้งหลาย ได้เข้ามาบวช มาเรียนศึกษาใน พระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกวันนี้ ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  แสดงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระโคดมองค์นั้น  ก็ได้เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ในเมื่อพุทธศก 80 ปี  ท่านผู้ฟังทั้งหลาย  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ส่วนมาก ก็เข้าใจกันว่า ดับขันธ์พระปรินิพพานแล้ว ก็สูญไปแล้ว  ก็คงทิ้งไว้แต่ชื่อ ๆ  ตัวจริงไม่มีแล้ว หรือที่ว่า  พุทธะ  พุทธะนั้นไม่มีแล้ว  อันนี้ก็เป็นความเข้าใจเผินๆ  หรือเปลือกๆ  ของเราท่านทั้งหลาย หรือคนทั่วๆไป  เหมือนกับหนึ่งว่า  คนที่ตายไปแล้ว  จะมีแต่ที่ไหน ก็จะมีแต่เพียงชื่อเท่านั้น  ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย หามีแต่เพียงชื่อไม่  พระพุทธเจ้าที่เป็นจริง ที่ตรัสรู้ ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์นั้น  คือพระพุทธเจ้าตัวจริง แต่พระพุทธเจ้าที่ คลอดออกมาจาก พระครรภ์ของพระนางศิริมหามายานั้นเป็น  พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก  พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก  เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว  เขาเผาแล้ว  ก็เหลือไว้แต่พระอัฐธิ  หรือที่เรียกกันว่าบรมสารีริกธาตุ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย  พระพุทธเจ้าตัวจริง  ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธ์  คือโพธิญาณ ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์  ซึ่งเรียกว่าพุทธุปาโด พระพุทธุปาโดคือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่ใต้ต้นสลีมหาโพธ์  คือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ  ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์  อันนี้ใครแลไม่เห็น  คนทั้งหลายไม่มีใครเห็นก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าอันเป็นตัวเปลือก คือตัวเปลือกนอก ก็จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น มองไม่เห็น อันนี้คือเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง  พระพุทธเจ้าจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว  ก็ไม่ได้ดับไปไหน  เรียกว่าไม่ตาย ทรงเป็นพระอมตะคือไม่ตาย ไม่เกิด  ไม่แก่  ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ก็แม้พระพุทธเจ้าที่ว่านี้ เกิดทีหลังนี้ คือเกิดแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือเกิดแล้วบรรลุถึงพระนิพพาน อันนี้ยังดำรงอยู่ คือยังมีอยู่ จะพูดง่ายๆว่า กายนั้นตายไปแล้ว แต่ใจนั้นยังไม่ตาย กายนั้นตายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ใจนั้นไม่ตายใจนั้นยังมีอยู่  ก็คือหัวใจยังมีอยู่ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็หัวใจยังมีอยู่ยังไม่มีวันตาย อยู่ที่ไหน ก็เมื่อมีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายก็จะขอตอบเพียงง่ายๆ ก็คืออยู่ในที่ ทั่วๆไปนี้แหละ คืออยู่ในอากาศนี้แหละ อากาศมีอยู่ในที่ใด พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในที่นั้น คือไม่สูญ ก็เมื่อพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่สูญดังนี้ จึงพูดได้ว่า แม้ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ คุมอยู่ในที่ทุกแห่ง แต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง เรายกมือไหว้พระยกมือกราบไหว้ พระพุทธเจ้า แต่เราไม่เห็นตัว แต่แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ เรามองไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ บางทีเรายกมือ ไหว้พระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ยกมือเพียงสักแต่ว่าไหว้ เหมือนกับว่า ไม่มีผลอะไร เท่ากับว่าการไหว้ของเรานั้น ก็อยู่ด้านนอกไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้า เพียงแต่ยกมือพนม ขึ้นเท่านั้น แต่หากว่าเรายกมือพนมไหว้ แต่จิตใจของเราน้อมถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือการไหว้ ของเราไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงรับไหว้ของเราแล้วได้รับการบูชาของเราแล้ว ก็เป็นอันว่า การกระทำอันเป็นบุญ ที่เราท่านทั้งหลาย กระทำนั้น ย่อมมีผล คือย่อมปรากฏออกมา เป็นของจริง คือเป็นอานิสงค์ หรือเป็นผลในทางที่ดี จริงอย่างแน่นอน คือไม่สูญเปล่าฉะนั้นการสักการะบูชา  หรือการบูชาของเราท่านทั้งหลาย ที่สวดมนต์ เช้า ค่ำ ทุกวันนี้ ทำด้วยจิตใจอันนอบน้อม ด้วยจิต ด้วยใจ  ของเราแล้ว  ผลบุญ ก็ย่อมมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไหว้เปล่าเหมือนกับที่ว่า ตะกี้เพียงยกมือไหว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร ไหว้ของสูญ คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เพียงสักแต่ว่าทำ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้านั้นน่ะ เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น มีอยู่ทุกแห่ง  ที่บ้านของเราก็มี ที่วัดก็มี ที่สำนักใดๆมี ตามทุ่งตามนา  ตามป่าตามน้ำ ตามเขา ตามดอยก็มี เราไหว้ได้เสมอ  ถ้ายังไม่เชื่อแน่ ก็ขอไหว้พระบรมสารีริกธาตุไปก่อนก็ได้ พระบรมสารีริกธาตุก็เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นรูปธรรม รูปธาตุ
อันนั้นเห็นได้ด้วยตา ไหว้อันนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน  แต่เท่าที่กล่าวนี้ คือกล่าวด้วย กาย จริงของพระพุทธเจ้า  คือหัวใจของพระพุทธเจ้า นั้นมีอยู่ในที่ทั่วไป ทีนี้ก็มาพูดถึงว่า พระพุทธเจ้ามี เป็นเครื่องรับ สักการะบูชาของเราท่านทั้งหลาย
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือตลอดกาล เราท่านทั้งหลายก็มีโอกาส  ที่จะได้บุญจนกว่าชีวิตจะดับไป  หรือลมหายใจ จะดับลงไป เพราะไหว้ที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ ทีนี้ว่ากันถึง  เรื่องตัวตน หรือการท่องเที่ยว  ตามสังสารวัฎ   ตัวตนก็เป็นของมีจริง   ตัวตน อัตตาเป็นของมีจริง  คือสภาวะอันหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าคนนั้น  คนนี้ ที่ว่าเป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง นาย ก บ้างนย ข บ้าง  หญิงบ้าง  ชายบ้าง  หลังจากที่อัตภาพ  แตกสลาย ลงไปแล้ว   เขาเอาไปเผาทิ้งแล้ว   หรือเอาไปฝังในป่า ช้า แล้ว  แต่เราท่านทั้งหลาย  ที่ชื่อนั้น  ชื่อนี้  อันเป็นตัวข้างใน สภาวะข้างในอันนั้นยังไปตาย ไม่มีวันตาย  คือยังไปเกิดที่นั่น ที่นี่เรียกว่า เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่  แต่การท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่  ไม่ได้ไปตามลำพัง คือไปด้วยอำนาจ  การกระทำ   คือทำดี  หรือทำชั่ว ที่จะเป็นเครื่อง ติดตัวไปตลอดกาล การกระทำก็มี  อยู่ 2 อย่าง  คือกระทำในปัจจุบัน  กับ กระทำในอดีต กระทำในอดีตก็ส่งผลมาในปัจจุบันได้ กระทำในปัจจุบัน  ก็ส่งผลให้ปัจจุบัน แล้วก็จะไปส่งผลให้ในอนาคต  ต่อไปอีก ก็ชื่อว่าคนทั้งหลาย   สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามกรรมต่างกัน คือการกระทำ  ฉะนั้นการกระทำนี้แหละ มันเหมือนกับเป็นเงา ติดตัวไป ไปทุกหนทุกแห่ง คือไปทุกภพ  ทุกชาติ  ก็กรรมอันนั้นก็ติดไป ก็เวลาที่กรรมชั่วติดตามไป มันก็ให้ผลในคราวที่ เสวยความทุกข์ แต่ถ้ากรรมดีนั้นติดตามไปให้ผลเวลานั้น มันให้ความสุข ก็จะเสวยความสุขคือรับความสุขนั่นเอง  ฉะนั้นมากก็ตาม น้อยก็ตาม ผลที่ทำเหตุที่ทำแล้วนั้น  มันย่อมได้ทั้งนั้น คือย่อมได้ทั้งมากก็ได้   น้อยก็ได้ เพราะฉะนั้น  การทำความดี เป็นต้นว่าการให้ทาน แม้ที่สุด ให้แก่คนยาก คนจน  เพียง 10 บาท  การกระทำนั้นไม่สูญเลย   การกระทำนั้นไม่สูญ  แล้วก็ ชาติหน้า ยังได้ผลพิเศษคือยังมีดอกเบี้ย  ไม่ใช่ได้แค่นั้น   คือทำความดีไว้ทั้งหมดแม้ 10 บาท ถ้าทำไปแล้ว  ผลที่เราทำจะได้แค่ 10 บาทเท่านั้น  ก็หามิได้ ดอกเบี้ยก็เกิดตามมาอีกเยอะแยะไปเลย ก็เกิดตามขึ้นมาอีกมากมาย  เป็นร้อยเป็นพัน  เป็นหมื่น เป็นแสน จนชื่อว่าเป็นผู้ร่ำรวย ขึ้นมาได้ ก็เพราะความดีนั้น   เป็นของไม่ตาย  ติดตามไป เหมือนกับความชั่ว  ก็ไม่ตายเหมือนกัน ก็ติดตามตัวไปเหมือนกัน ทางที่ดี ก็อย่าให้มีความชั่ว มันติดตามไปชะเลย นั่นแหละเป็นทางที่ดี น้อยหนึ่งก็ไม่ควรจะมี ฉะนั้นความดี  นิดหนึ่งน้อยหนึ่งนั้นก็ควร  ที่จะทำให้เกิดมี เพราะว่าเกิดมีแล้ว  มันมีแต่ผลดี  ที่จะประดังเข้ามา หรือติดตามไปอยู่เสมอ ทีนี้ว่าถึงผลการท่องเที่ยว  ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า   คนเราตายไปแล้วท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ มันไม่ตาย ไอ้ตัวในนั้นมันไม่ตาย ก็จะขอยกเรื่อง   หรือนำเรื่องมาเล่า หรือมาแสดง เป็นตัวอย่าง  สักเรื่องหนึ่ง.... ก็มีในสมัยพระพุทธเจ้า โคตะมะเศรษฐี ๆ เป็นอย่างไร มีกรรมดี กรรมชั่วอย่างใด ที่กระทำไว้ และก็ท่องเที่ยวไปภพน้อย ภพใหญ่ เป็นอย่างไร ก็จะขอเริ่มต้นที่ โคตะมะเศรษฐีนี้ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่เมืองโกสัมภี ก็ในกาลครั้งนั้น คือถอยหลังไป โคตรเศรษฐีนี้ ก็ได้เกิดอยู่ที่เมือง กัสปะ คือเมืองๆหนึ่ง นายคนนี้ชือว่าโคโตริก ชื่อว่านายโคโตริก นายโคโตริก เขาก็มีครอบครัว อยู่ในเมืองนั้นแต่ว่าในเมืองนั้นเกิด ทุขกภัยขึ้น เกิดทุขกภัยขึ้นที่เมืองนั้น นอกจากทุขกภัยแล้ว ก็ยังมีพลังอื่นคุกคามด้วย เป็นต้นว่า อหิวาเกิดขึ้นด้วย เขาก็ไม่อาจที่จะอยู่ที่เมืองนั้นได้ ไม่มีอะไรจะกิน ก็ในเมื่อไม่มีอะไรจะกิน ก็เลย2 ตัวผัวเมีย สองสามผัวเมีย ลูกอีกคนหนึ่งก็เตลิด เปิดเปิง ออกจากบ้านนั้น ออกจากเมืองนั้นไปอาศัยข้างหน้า ก็แล้วกันทีนี้ก็เดินทางไปเดินทางไป มันก็ทุกข์ๆ ยากๆ มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ที่มีกินบ้าง ก็ขอข้าวเขากิน ด้วยการขอเขากิน ก็อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็เลยเป็นธรรมดา ก็เดินทาง ซอกซอนไปแดนไกล ทั้งลูกอีกคนหนึ่ง ก็ผลัดกันอุ้ม ผลัดกันเดิน ก็จะทำอย่างใดเล่า ก็ในเมื่อเกิดมันมาแล้ว ก็จะทิ้งมันเสียก็ไม่ควรใช่ที่ แต่ว่าหนักเข้า ๆมันก็ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด 2 ผัวเมีย ก็จะเอาตัวไม่รอด จะกินก็ ไม่มีกิน อดข้าวอดน้ำ ในที่สุดผัวก็เลยคิดว่า เราเอาตัวรอดชะก่อนดีกว่า เราทิ้งลูกของเราชะ เสียดีกว่า หรือทะว่า เมื่อเราทิ้งลูกของเรา หรื่อว่าลูกของเราตายไป เราทั้ง 2 ยังมีอยู่เราก็ อาจจะมีลูกได้ ก็ผัวก็ปรึกษาเมีย อย่างนี้ ไอ้เมียก็ไม่ยอมทิ้ง เมียไม่ยอมทิ้ง ก็อ้างว่าทิ้งไม่ได้ อย่างไรๆก็ขอนำไปกว่าจะถึงที่สุด ก็เดินทางเข้าไป ก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ก็ไปพักที่ต้นไม้ ขอนไม้ต้นหนึ่ง เด็กน้อยก็หลับไป ก็ผัวก็อุ้มไว้ ก็เวลาก็เวลาก็จะไม่คอยท่า จำเป็นก็จะต้องเดินทางต่อไป ไอ้ผัวก็บอกกับเมียว่า เอ้าเธอเดินออกไปก่อนฉันจะเดินตามไปทีหลัง ไอ้เมียก็ตรงไปตรงมา ก็เลยเดินทางออกไปก่อน ผัวจะเดินตามออกไปทีหลัง ก็ผัวยังประคับประคองลูกน้อยอยู่ เมียก็เดินทางไปก่อน ผังอยู่ตามหลัง พอเดินไปซักพักหนึ่ง คิดว่ามันก็เป็นเวลา พอสมควร ที่เราจะติดตามไปได้ แท้ที่ไหนได้ผัวนั่น ถือโอกาส ทิ้งลูกเสียไว้ที่นั่น ถือโอกาสทิ้งลูกน้อยเสียที่นั่น แล้วก็ติดตามเมียไป ติดตามเมียไปถึงไปทันพอไปถึงไปทัน เมียเหลียวมาดู อ้าวลูกของเราไปไหนเล่า ศรัทราญาติโยม ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เอาลูกของฉันไปไว้ที่ไหนเล่า เอาฉันเอาไปวางไว้ที่โน้นเอาวางไว้ที่ใด ฉันไม่ยอมหรอก จะต้องไปตามเอากลับมา เธอต้องไปส่งฉัน ก็กลับไปทีนี้กลับไป ถึงที่เก่า ที่ทิ้งลูกไว้ ไม่ได้ลูกก็ตายไปแล้ว ก็ในเมือลูกตายไปแล้วเมียก็เศร้าโศกเสียใจ ยังทำอะไรไม่ได้ เรียกร้องให้ลูกคืนมามันก็ไม่ได้ ตายไปซะแล้ว ที่สุดก็เลย ชวนกันเดินทางต่อไปข้างหน้า ศรัทราท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็พากันเดินทางต่อไปข้างหน้า จนสุดวันสุดคืนไปทะลุบ้านเมือง บ้านเมืองหนึ่ง เข้าถึงบ้านถึงเมือง  ก็คงจะเป็นเมือง โกสัมภี หรืออะไรเนี่ย ทีนี้ก็ไปทะลุบ้าน ทะลุเมือง
ถึงเวลาก็ขออาหารกิน แต่วันนั้นวันที่ขอเขากิน นั้นมันก็เป็นบ้านของนาย โคบาล เป็นบ้านของนายโคบาล คือเลี้ยงโคไว้เยอะแยะเลยเลี้ยงไว้ขายนม เลี้ยงไว้กินนม ทีนี้ก็นายโคบาลเขาเป็นคนใจบุญ เขาก็ทำบุญอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งขอนิมนต์ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า มารับอาหารบิณฑบาต ที่บ้านทุกวันในตอนเช้า  ทีนี้สองคนผัวเมีย ก็ได้กินอาหารที่นายโคบาล เอ็นดูให้  นายโคบาลก็ถามเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร  เมื่อรู้แล้วก็เกิดความสงสารเอ็นดู จึงนำอาหารมาให้กิน ก็เมื่อนำอาหารมาให้กิน  มันก็เป็นอาหารชั้นดี  อาหารชั้นเลิศ เพราะอาหารในบ้านของเขานั้นเป็นยอดอาหาร ผสมด้วยนมด้วยเนย ด้วยเครื่องเทศชั้นดี ของดีทั้งนั้น อร่อยรสดีทุกอย่างเขาก็ให้ทาน แต่ทีนี้สองคนผัวเมีย เมื่อได้กินอาหารนั้นแล้ว ก็กินเหมือนกับว่ามันไม่อิ่มสักที  แต่เมียนั้นก็เห็นว่าอาหารเขามาให้กิน ก็กินพอสมควรตัวเองกินไม่มากนักก็ให้ผัวกินเสีย คิดว่าผัวมีชีวิตอยู่เหมือนกับว่า  เมียก็จะมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน ถ้าผัวไม่มีชีวิตอยู่เมียก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ก็เพราะฉะนั้นจึงมอบให้ผัวกินมากกว่าตัว ทีนี้ไอ้ผัวก็เลยกินมากกว่าตัวไป  ผัวก็เลยกินชะอิ่ม แต่เมียกินพอประมาณ พอตกค่ำเข้า ดึกเข้าไอ้ผัวมันอาหารมันไม่ย่อยในท้องก็เพราะกินมากเกินไป  และก็อดมาเสียเป็นอาทิตย์ ๗ วัน๗ คืนไม่ได้กินอิ่ม กินดีนั้น  ก็เลยมากินชะท้องบาน ก็ไม่ใช่ท้องแตกตายหรอก  แต่เพราะว่าธาตุมันไม่ย่อย  ธาตุมันย่อยไม่ไหวไม่ทัน  ก็เป็นอันว่าผัวก็เลยตาย ตายแล้วเมียก็ต้องจัดฌาปณกิจศพ ให้แก่ผัว  ทีนี้ไอ้ผัวก็ตายไปแล้ว เราก็เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ทีนี้ก็จะไปพึ่งใครเล่า  นายโคบาลเจ้าของบ้านก็มีความเอ็นดู เออก็อยู่กับเราไปนี้แหละ อาศัยว่าไปทำงานในบ้านของเราไป  ให้กินเราจะเลี้ยงจะดู  นายโคบาลก็เลยขอดูแล  ให้อุปถัมภ์ภรรยาของเขา ให้ทำงานอยู่ในบ้านนั้นนะไม่ต้องไปที่อื่น ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ทีนี้เมียนั้นก็ยินดี เออก็ดีแล้วอยู่ในนี้ก็ได้กินอยู่ไปวันๆ  เราช่วยทำงานก็เป็นการได้บุญ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มาทุกวันๆ เราสีข้าว เราตำข้าว เราร่อนข้าว เราหุงข้าว อะไรเหล่านั้น เราก็จะได้บุญด้วย เมื่อเช่นนั้น เมียของเขายัง พยายามรวบรวมข้าวได้ ๑ ทะนาน แล้วก็มีโอกาส ก็ยังทำของตัวอีกประเภทหนึ่ง ถวายอาหารเป็นสังฆทาน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า  ก็เพราะบุญอันนี้ เป็นอานิสงค์มากมายทีเดียว  ก็ตายไปก็เป็นไปตามอำนาจของบุญ ของกรรมที่ว่านี้แหละ ก็ทีนี้ว่ากันถึงสามีที่ตายไปแล้ว ร่างมันก็ตายไปแล้ว เขาก็ทำศพฌาปณกิจศพ  ตายไปแล้ว สวดไปแล้ว แต่ทว่า ทำไมมันไม่สูญ ผัวก็ไปเกิดเป็นลูกหมา ลูกสุนัขอยู่ที่บ้านนั้นเองอยู่ที่บ้านนายโคบาลนั้นแหละ เพราะว่านายโคบาลนั้นนะมีหมาเลี้ยงๆ และเป็นหมาตัวเมียแล้วก็ เห็นหมาแม่ ก็เลยจิตใจติดอยู่ที่การกินดีๆของหมานั้น หมาแม่กินดีอย่างนี้หนอ เราหากินดีๆยังไม่ค่อยได้  ไอ้คิดแค่นั้นแหละจิตใจมันเข้าไป ปฏิสนธิ คือเข้าไปเกิดในท้องของหมาแม่ ก็เลยเป็นลูกสุนัขไปเสียแล้ว คนกลายเป็นหมาไปเสียแล้ว ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายตอนนี้ยังไม่มีบุญ คือจิตใจนั้นตกต่ำไป ตกต่ำไป ก็ไปเกิดเป็นหมา ทีนี้เมื่อเกิดเป็นหมาแล้ว เมื่อเกิดเป็นหมาอยู่ในบ้านของนายโคบาล นายโคบาล ทำบุญทุกวันๆ ก็เลยอุปถัมภ์หมาตัวนั้นเสีย เลี้ยงหมาตัวนั้น มันเข้าใจภาษา เพราะไปเกิดในทันใด แล้วมันก็เข้าใจคำพูดของนายโคบาล นายโคบาลก็ให้หมาตัวนั้นช่วยทำงานไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านไปก็ให้ไปส่ง เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก็ให้ไปรับ  อันหมาก็เลยเป็นหมาที่จงรักภักดี ต่อผู้อุปการะเป็นบุญแก่หมาที่ได้มีจิตใจต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อเมื่อพระปัจเจกพระพุทธเจ้า จะไม่ได้มา เพราะต้องไปทำจีวรที่อื่น พระปัจเจกพุทธเจ้าก็บอกนายโคบาลว่า จากหนนี้ไปอาตมาจะไม่ได้มารับบินฑบาตรแล้ว จะไปทำจีวรที่อื่น แต่หมาก็ยืนฟังอยู่ หมาเมื่อยืนฟังอยู่ก็รู้ความ  ก็พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลาอุบาสก โคบาลนั้นไป หมานั้นก็ไม่ยอมให้ไป หมานั้นรู้ความไม่ยอมให้ไป หมาก็วิ่งไปขวางข้างหน้า วิ่งไปทางนั้น ทางนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะไปจริงๆก็ไปดึงเอาปากไปคาบจีวรไว้ ดึงไว้ไม่ให้ไป แต่อย่างไรก็ดี มันก็ขัดขวางพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปในอากาศไปยังที่สมปรารถนา หมาตัวนั้นก็อาลัย อาวรณ์มันก็เลยอกแตกตาย เรียกว่าหัวใจแตกสลาย ไอ้หัวใจแตกตาย ก็จะไปที่ไหนเล่า ทีนี้  หัวใจจิตใจข้างใน ไปจากไอ้หมาตัวข้างนอก ทีนี้ทำไง ไอ้จิตใจตัวมันยังไม่ตายอีกนั่นแหละ ครั้งเมื่อนายโคโธริกนั้นตายไปเป็นหมา ก็ไปอยู่ในร่างของหมานั้นแล้วทีนี้ ร่างหมานั้นตายไปโคโธริก ตัวนั้นก็ไปเกิดสวรรค์ เมื่อไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็มีเทพบุตรมีเทพอัปสรณ์แวดล้อม ๑๐๐๐ มีความสุขอย่างมาก เพราะบุญที่ได้กระทำไว้โดยที่เป็นหมา ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ทีนี้ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร ก็เป็นเทพบุตรที่เลื่องชื่อลือชาอยู่  เพราะว่าเมื่อคราวเป็นหมานั้น บุญนั้นเกิดจากการต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า บุญนั้นก็ได้แผ่อานิสงค์ไปทั่ว เขตเทวสถาน ด้วยเสียงที่ก้องกังวานประกาศ  ยามเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชาวสวรรค์ทีนี้เทพบุตรนั้นก็เสวยสุขอยู่ในเทวสถาน ก็ไม่นาน ไอ้ที่ไม่พอนานก็เพราะว่าสิ้นอายุก็บุญน้อยหมดบุญ ก็เลยจุติลงมา ก็ลงมาเกิดในท้องของแม่หญิงโสเภณี มาเกิดในท้องของแม่หญิงโสเภณี ก็ต่อเมื่อครบ ๑๐ เดือนหญิงโสเภณีนั้นก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้ชาย ก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้ชาย นางโสเภณีรู้ว่าได้บุตรเป็นผู้ชายก็เลยให้สาวใช้ เอาไปขว้างทิ้งเสียที่กองขยะ ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากรรมอันนั้นตามมาอีกแล้ว กรรมที่เมื่อเป็นโคธูลิกนั้น ที่ไปทิ้งบุตร ของตัวนั้นนะ เดี๋ยวนี้ตามมาทันแล้ว แท้ที่จริงท่านโคธูลิกก็เกิดมาเป็นลูกของนางโสเภณี เขาเวียนว่ายอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ เขาต้องถูกท้องทิ้ง  ทีนี้ก็เมื่อเกิดเป็นลูกโสเภณี แต่ว่าบุญของเขาก็ยังมีอยู่ ยังสนับสนุนอยู่ เอาไปขว้างทิ้ง เขาก็ยังไม่ตาย เขาก็ยังไม่ตาย มีคนไปเจอเข้า มีคนไปเจอเข้า คนนั้นก็เกิดความรักขึ้นมา ก็เลยเก็บเอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม แต่ทีนี้เมื่อเก็บไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ก็มีเศรษฐีตามมา ตามหาอยากได้ลูกบุญธรรม เอาไปไว้เลี้ยงเป็นลูกของตน และมาตามหาว่า ถ้าใครมีลูกเกิดวันนั้น วันนี้  ถูกต้องอย่างนั้น อย่างนี้ ก็จะได้เป็นเศรษฐีด้วย เศรษฐีจึงให้ไปตามหา ก็เลยไปขอซื้อเอา ๑๐๐๐ กะหาปะนะ ก็เลยไปขอซื้อมาเอาเสีย ก็เพื่อจะเป็นลูกของตน  แต่ทีนี้ ลูกของตนก็ยังไม่ได้เกิด แต่ลูกของตนมาเกิดทีหลังเกิดเป็นผู้ชายขึ้นมาอีก  ก็เลยไม่ปรารถนาลูกบุญธรรม  คิดว่ามันจะมาเป็นตำแหน่งเศรษฐีแทนลูกเรา ก็เลยคิดฆ่าเสีย ก็เอาไปทิ้ง ทีนี้ก็ให้คนใช้ เอาไปทิ้งที่คอกวัวที่มันออกคอกแต่เช้า ก็จะให้โคมันเหยียบเสียให้ตาย แต่วันนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้นคือโคสุราช มันรู้หรืออย่างไรก็ไม่รู้ มันก็ออกไปก่อน มันก็ออกไปยืนค่อมเสีย ไอ้ตัวอื่นจะมาเหยียบย่ำก็ไม่ได้ ก็เลยต้องเบียดเสียดกันออกไป  วัวตั้งพันตัวอย่างนี้ มันก็ไม่ยอมเคลื่อนที่ ตัวอื่น ๆก็แซกออกไปๆ จนหมดแล้วมันจึงเดินไป  ไอ้คนที่เอาไปทิ้ง เอาไปให้เหยียบนั้นมันก็ดูอยู่ มันก็กลับมาบอกเศรษฐี เศรษฐีก็ซื้อ มาอีกให้เอามาใหม่ ให้เงินใหม่ ถ้ามันยังไม่ตายอย่างนั้นให้เอา มาใหม่ ทีนี้ก็เลี้ยงไปเลี้ยงไปๆไม่กี่วัน เศรษฐีก็ให้เอาไปทิ้งที่ทางล้อ ทางเกวียนเสีย คิดเหมือนเดิมอย่างว่านั่นแหละ โคก็ไม่เหยียบ ล้อเกวียนก็ไม่ทับมันก็เป็นอัศจรรย์ เพราะบุญเก่าเขาให้ผล ทีนี้คนที่ทิ้งมันก็คอยดูอยู่ไปบอกเศรษฐี เศรษฐีก็ไปเอามาอีก เศรษฐีก็ยังไม่ยอมละ ความพยายามให้เอาไปทิ้งที่เหว แต่มันก็ไม่ตายอีกนั้นแหละ  จนทีหลังมาก็ให้ไปเอาไถ่ตัวมาจากคนป่า ที่เก็บเอาไปเลี้ยง ทีนี้ตอนหลังมาก็คิดจะเอาไปฆ่าอีก  ก็เลยฆ่าไม่ได้สักที ครั้งสุดท้ายหรือวาระสุดท้ายนี้ก็ส่งไปเอาจดหมายให้ไป เพื่อเอาไปฆ่าบ้านส่วยร้อยบ้าน ให้ไปบ้านส่วยร้อยบ้าน ก็เพราะบ้านส่วยนั้นมันก็เป็นลูกน้องของเศรษฐีนี่เอง จึงเขียนจดหมายฝากไปให้เขาฆ่า ว่ามาถึงเมื่อใด ก็ฆ่าเมื่อนั้น ก็อ้างในจดหมายว่าเป็นคนกาลกิณี ทำร้ายตระกูลเป็นคนชั่วชาติ เป็นคนไม่ดี รูปพรรณต่างๆ ท่านผู้ฟังทั้งหลายก่อนที่จะเอาไปบ้านส่วยร้อยบ้าน ก็เขียนจดหมายฝากลูกชาย สั่งว่าอย่าให้ใครเขาดูนะ ไปตามทางใครรู้ไม่ได้นะ เพราะโคริกะเองก็ไม่รู้หนังสือ เป็นคนที่ไม่ได้ร่ำไม่ได้เรียน ทีนี้ก็เดินทางไป เศรษฐีก็ไม่ให้อาหารเสียด้วย ก็ว่าอาหารนั้นให้ไปเอาที่บ้านของเพื่อนเราเถอะ เพื่อนเราก็เป็นเศรษฐีอยู่ที่นั้น  การเดินทางวันหนึ่ง ก็พอดีละ ก็ไปกินอาหารที่บ้านเพื่อนเรา ให้ไปถามหาบ้านเพื่อนเราก็แล้วกัน โคธิกะ ก็ออกเดินทางไป ไม่รู้เลยว่เขาหลอกไปฆ่า ในที่สุดก็ไปถึงที่บ้านเศรษฐี กลางทาง เพราะเศรษฐีใช้ให้ไปที่นู้น สุดทางนู้น แต่ให้พักที่นี้ก่อน พอถึงบ้านเพื่อนเศรษฐี ก็ให้พักกินข้าวกินน้ำ โคธิกะ ก็เผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อหลับไปตื่นขึ้นมาก็รีบเดินทางออกไปจนถึง สุดทางบ้านส่วยร้อยบ้านมีจดหมายที่ตัวจะต้องตาย ก็นำเอาจดหมายนั้นให้เจ้าบ้าน นายส่วยร้อยบ้าน ว่ามาถึงเมื่อใดก็ให้ฆ่าเสียเมื่อนั้น มาถึงกลางวันก็ให้ฆ่ากลางวัน มาถึงกลางคืนก็ให้ฆ่าเสียกลางคืน ทีนี้พอจดหมายถึงนายส่วยร้อยบ้านเปิดจดหมายอ่าน ดูมันไม่เป็นอย่างที่เศรษฐีเขียนมา เพราะที่เศรษฐีเขียนนั้นมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ทีนี้ที่ไปเปิดอ่านดูนั้นมันว่า ให้จัดงานแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี เพื่อนของเราให้จัดงานแต่งงานกันเสีย ให้สร้างบ้าน ยกเรือนขึ้นเป็นสองชั้น มีกำแพงล้อมรอบ มีคนงาน คนใช้อะไรต่อมิอะไร พร้อมเพรียง ที่ลูกสาวเศรษฐีต้องการนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้นไปเสีย ฝ่ายพราหม์ก็เลยจัดการทำพิธีเสียใหญ่โต ก็เพราะเศรษฐีสั่งมาอย่างนั้นๆ เมื่อเสร็จงานแล้วก็จะได้ค่าตอบแทนอย่างสมใจ ทีนี้ก็จัดงานแต่งงาน ยกบ้าน ยกเรือน ห้องหออย่างดี ทำพิธีแต่งงานกันเรียบร้อย กับลูกสาวเศรษฐีที่อยู่กลางทางนั้น ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย คิดอย่างไรเล่าทำไม หนังสือมันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่อื่นไกลหรอก ไม่ไช่อื่นไกลที่ไหน ก็เพราะลูกสาวของเศรษฐีที่อยู่ในบ้านนั่นเองนี่แหละ คือในบ้านระหว่างทางนั่นแหละ มาเปลี่ยนจดหมาย เสียคือแก้ไข จดหมายเสียถ้ามาถึงกลางคืน ก็ให้ฆ่ากลางคืนเมื่อมาถึงกลางวัน ก็ให้ฆ่ากลางวันนั่นแหละ มันเขียนว่าถ้ามาถึงเมื่อใดก็ให้จัดงานแต่งงานเมื่อนั้น มันหมายความว่าอย่างนี้ แล้วก็เขียนรายละเอียดว่า ให้จัดการอาคารที่อยู่สร้างบ้าน สร้างเรือนมีบริวาร ข้าวของเครื่องใช้อะไรต่อมิอะไรอย่างนี้ เขียนติดตามไปในจดหมายด้วย โคธิกะก็ไม่รู้เรื่องว่าจดหมาย เขาว่าอย่างไรก็ให้ไปตามนั้น ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ลูกสาวเศรษฐีนั้นก็ไม่ใช่ใครหรอก ก็คือเมียเก่าของเขานั่นเอง ที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนสุข เดินตามกันมาออกจากบ้านเมืองมัลกะ เมื่อหนหลังนั่นแหละ เมื่อคราวที่เกิดทุกข์ภิกภัย เมื่อคราวที่เป็นนาย โคธุลิก อันนั่นแหละ เขาเป็นผัวเป็นเมียกัน แล้วทีนี้โคธูลิกก็ตายไป ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร แล้วเมียเขาก็ตายไป เวียนไปเวียนมาก็มาเกิดเป็นลูกสาว เศรษฐีที่อยู่กลางทางนั้น ลูกสาวเศรษฐีแอบมาเปลี่ยนจดหมาย แอบมาเปิดดูจดหมายว่าเอ๋เจ้าชายคนนี้ เจ้าหนุ่มคนนี้มันถือจดหมายไปฆ่าตัวเอง ก็เกิดความสงสารเอ็นดูเกิดความรักก็เลยแต่งจดหมายแก้ไขจดหมาย นั้นเสียหากท่านผู้ฟังทั้งหลายจะถามว่ามันไม่บาปหรือ มันก็เป็นเรื่องของทางโลก เขาคิดว่าช่วยชีวิตคนดีกว่าฆ่าคนเขาคิดอย่างนั้น ก็มาแก้ไขจดหมายนั้นเสีย คราวหลังมาก็เลยได้แต่งงานกันขึ้นมา ก็มาอยู่ร่วมกันอีก อันนี้แหละโคธิกะ เมื่อได้แต่งงานมาก็ได้เป็นเศรษฐี โคธิกะนั้น เมื่อแต่งงานแล้วก็ได้กลับมาเป็นเศรษฐี มารับเอาสมบัติเก่าที่เศรษฐี คนที่พยายามฆ่านั้นเขาได้เสียชีวิตลง ในที่สุดก็ได้กลับมาเอาสมบัติเก่า อีกสมบัติใหม่ก็ได้ สมบัติเก่าก็ได้ ก็ได้เป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองโกสัมภีเมื่อได้เป็นเศรษฐีแล้วตอนหลังมาก็ได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้สำเร็จเป็น พระโสดาบัน ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ที่เขาถูกทอดทิ้ง เขานำไปทิ้งเศรษฐีพยายามฆ่า อะไรเหล่านั้น ก็เพราะว่ากรรมของเขาที่ได้ไปทิ้งลูกเมื่อคราวได้เป็นโคธูลิก แต่ว่าบุญของเขาก็ได้สนับสนุนตามมาก็เพราะว่าได้ไปอุปการะต้อนรับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนเมียก็ได้บุญที่ไปทำงานในเรือนของนายโคบาล ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย เขาก็ได้ไปเกิดเป็นลูกของเศรษฐี เสวยสมบัติอันนั้นแหละ ก็ที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อได้ กล่าวมาโดยย่อๆ ก็เพื่อให้เห็นว่า การท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ เวียนเกิดเวียนตาย เกิดตายนั่นละ มันมีจริง คือว่ามันมีตัวตน เพราะฉะนั้นการทำความดี คนเราก็ได้ผลดี ผลดีสนับสนุนตามไป ทำชั่ว ความชั่วก็ติดตามไปเหมือนกัน ก็เป็นอันว่า วันนี้พระคุณเจ้าได้กล่าวมาถึงเรื่อง การบูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้น พระพุทธเจ้าก็เป็นพระรัตนตรัย เป็นดวงแก้วอันประเสริฐที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เป็นของนอกกายนอกใจ ผู้ใดละลึกถึง ผู้ใดกราบไหว้ บุญก็ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นแก้วอันประเสริฐที่มีอยู่ในโลกนี้ บุญนั้นมี กรรมนั้นมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมี ความดี ความชั่วที่คอยติดตาม ไปนั้นก็มี พระนิพพานนั้นก็มี เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง พระคุณเจ้าก็ได้แสดงมาย่อๆมันก็ย่อจนบางท่านฟังไม่ประติด ประต่อก็ได้ แต่ว่ามันมีความจำเป็น เพราะจะต้องสรุปลงเพื่อให้เวลานั้นพอสมควร ก็ขอยุติการแสดงลงโดยย่อด้วยประการละฉะนี้

แก้ไขล่าสุด (วันเสาร์ที่ 03 มิถุนายน 2023 เวลา 03:42 น.)