postheadericon กายของเราซ้อนกันอยู่ถึง ๔ กาย

กายของคนเรามีกายซ้อนกันอยู่ถึง๔กาย

ายของคนเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย  ก็มีกายทั้ง๔ซ้อนกันอยู่ทั้งนั้น  กายแรกคือสะรีระกาย  หรือกายเนื้อเรียกว่าสะรีระกาย  แล้วก็กายที่๒คือเทพกายหรือกายเทวดา  กายที่๓คือพรหมกาย   หรือกายพรหม   กายที่๔คืออรหันตกาย  หรือกายอรหันต์  ในกายของเราท่านทั้งหลายนี้   มีกายซ้อนกันอยู่  แต่โดยมากแล้ว  คนเรามักจะไม่รู้ว่ากายของตัวนั้นมีอยู่๔กาย   กายเนื้อเป็นกายที่ แก่ เจ็บ ตาย

เป็นกายเน่า กายเปื่อย กายผุพัง กายเน่าเหม็น  กายอันประกอบไปด้วย กองกระดูก   คือปฎิสนธิในครรณ์   คลอดออกมาจากครรณ์ของมารดา   แล้วเจริญขึ้นด้วยนม  ข้าวสุกขนมสด  เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเรื่อยมา   อันนี้เป็นกายเนื้อ  กายเนื้อนี้เป็นกายหยาบ  จึงว่าเป็นสะรีระกาย   กายอันนี้ต้องเน่าเปื่อย เสื่อมสลายอยู่ในโลกนี้   กายที่๒เป็นกายทิพย์   หรือกายเทวดา   หรือกายทิพย์อันนี้เป็นกายที่ไม่ตาย    กายที่ไม่ตายอันนี้ก็ออกจากร่าง   คือทิ้งร่างไปเมื่ิอกายตัวนอกมันหมดอายุ สิ้นอายุ หมดลมหายใจ    กายตัวในอันเป็นกายทิพย์ก็ต้องละทิ้งร่างไป   กายทิพย์ก็ไปปฎิสนธิใหม่   หรือไปถือเอาภพเอาชาติใหม่    ถ้าทำดีก็ไปถือเอาภพเอาชาติที่ดี  มีความสุข    ถ้าทำกรรมไว้ไม่ดีหรือมีจิตใจเศร้าหมอง   ก็จะไปถือเอาภพเอาชาติที่พบกับทุกขเวทนามาก   แม้จะเป็นกายทิพย์หรือกายเทวดา   แต่ด้วยอำนาจจิตที่มืดดำ หรือด้วยอำนาจกรรมที่ทำไว้  ก็ไปถือเอาภพเอาชาติที่เลว  หรืออบายภูมิ   ส่วนกายที่๓คือกายพรหม   กายพรหมนั้นก็คล้ายๆกับกายเทวดาเหมือนกัน   กายอรหันต์หรือกายพระอริยะบุคล   ก็อยู่รวมกันในกายทิพย์นั่นเอง   ก็เพราะฉะนั้นในที่นี้พอจะย่อกายเข้ามาได้เป็น๓กาย  ย่อลงมาเหลือเป็น๓กาย   คือกายเนื้อ  กายทิพย์  และกายพระอรหันต์หรือธรรมกาย      ท่านผู้ฟังทั้งหลาย   นี่ก็คือกายอันมีอยู่ในตัวคนเรานี้ซ้อนกันอยู่     แต่มนุษย์เราก็ใช้แต่ร่างกายที่เป็นมนุษย์   กายที่เป็นเทวดาก็เอามาใช้น้อย    กายที่เป็นพรหมก็เอามาใช้น้อย   กายที่เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้เอามาใช้เสียเลย    แต่ถ้าเราเอากายเทวดามาใช้    เอากายพรหมมาใช้ก็จะปรากฎ  เป็นกายเทวดา  เป็นกายพรหม  เป็นกายพระอรหันต์  กายดีซึ่งไม่ปรากฎก็เพราะว่า   คนเรามัวเมาอยู่ด้วยความโลภ   ด้วยความโกรธ    ด้วยความหลง   กายที่เป็นกายเทวดาก็ไม่ปรากฎ  เหมือนกับไม่มี   ก็เพราะที่ว่าในกายของคนเรานี้   มีกายเทวดา มีกายพรหม มีกายพระอรหันต์  เกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับขั้นของการปฎิบัติ  เช่นกายเทวดาก็จะปรากฎเมื่อ  คนเรามีหิริโอตัปปะ  รู้จักละเว้นบาป  รู้จักการทำบุญ   รู้จักการไม่ประกอบกรรมอกุศล  กายเทวดาก็จะปรากฎ   ถ้าเจริญเมตตา   ภาวนา   มีเมตตา กรุณาต่อคนต่อสัตว์ทั้งหลาย  กายพรหมก็จะปรากฎ   ถ้าเป็นผู้ที่ปราศจาก  โลภะ  โทสะ   โมหะ  กายพระอรหันต์ก็จะปรากฎ    กายอันมี๓กายซ้อนกันอยู่  ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับต้นไม้  ชั้นนอกเป็นเปลือกไม้  ชั้นกลางเป็นกระพี้หรือเนื้อไม้  ชั้นในเป็นแก่นไม้  ต้นไม้มีแก่นอยู่ข้างใน  มีกระพี้หุ้มห่อแก่นอยู่   แล้วก็มีเปลือกหุ้มห่อกระพี้อยู่อีกชั้นหนึ่ง   แก่นนั้นแข็งที่สุดคือเป็นแก่นใน     ท่านผู้ฟังทั้งหลายคนเราก็อย่างเดียวกันเหมือนกัน   ถ้าจะเปรียบอีกอย่างหนึ่ง   คนเรานี้เหมือนมีน้ำมันหรือเปรียบเหมือนมะพร้าว   มะพร้าวนี้มีน้ำมันอยู่ในเนื้อมะพร้าวหรือในกาบในเปลือกมะพร้าว  ที่เป็นมะพร้าวแก่ถ้าเราเอามาผ่าออกไป   ก็จะเห็นเนื้อมะพร้าว   แต่เนื้อมะพร้าวนั้นยังไม่ใช่น้ำมันมะพร้าว    เนื้อมะพร้าวนั้นต้องเอาไปขูด   เมื่อขูดแล้วก็เอาไปคั่นจึงจะได้กระทิ    ส่วนเปลือกเมื่อทิ้งเสีย  มันก็เปรียบเหมือนกายมนุษย์นั่นแหละ   ส่วนกระทิก็เปรียบเหมือนกับกายทิพย์    แต่กายทิพย์นั้นก็มีกายธรรมหรืออรหันตกายซ้อนกันอยู่   มีลักษณะใสบริสุทธิ์   เป็นน้ำมันใสสะอาด   เราต้องเอาไปเคี่ยวอีกทีหนึ่ง ! จึงจะออกมาเป็นน้ำมันมะพร้าว  น้ำมันสุดท้ายนั่นแหละ  หลังจากที่เราเอากระทิไปเคี่ยว  มันก็จะปรากฎมาเป็นน้ำมันมะพร้าว ในขั้นสุดท้าย    ฉันใดก็ดีกายในขั้นสุดท้ายก็จะปรากฎมาเป็นธรรมกาย  หรือกายพระอรหันต์     คือกายที่สาม   ก็สรุปได้ว่าการปฎิบัติธรรม   เราจะถึงความเป็นเทวดา ถึงความเป็นพรหมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ด้วยการปฏิบัติ   เจาะเข้าไปด้วยการปฏิบัติของเรานี้แหละ   หรือว่าคั่นเข้าไปเกี่ยวด้วย สติปัญญาพยายามปลดเปลื้อง  จากตัณหา อุปทาน     ความยึดมั่นใน สรีระร่างกายเรานี้ออกไป  กายทิพย์ ก็จะปรากฎ   แต่ถ้าหมดกิเลส กายพระอรหันต์ก็จะปรากฎ   เพราะฉนั้นท่านผู้รู้จึงกล่าวว่าถ้าอยากเป็นพรหมก็ปฏิบัติเอา   อยากเป็นเทวดาก็ปฏิบัติเอา  อยากเป็นมนุษย์ก็ปฏิบัติเอา  ถ้าไม่ปฏิบัติมันก็จะไม่ได้   ถ้าปล่อยไปตามอำนาจ  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันก็จะไปสู่อบาย  แต่เมื่อปฏิบัติละส่วนหยาบ  หรือกิเลสทั้งหลาย ดังที่กล่าวมาข้างต้น  ก็จะถึงกายละเอียดเป็นชั้นเป็นชั้นไปจนถึงกายอรหันต์ หรือธรรมกาย  ความจริง มันก็อยู่ไม่ไกล  เราท่านทั้งหลาย ถ้าเราปฏิบัติกันจริงๆจังๆ  มันก็จะถึงได้  แต่ถ้าไม่ปฏิบัติกันจริงๆจังๆ มันก็จะไม่ถึงกายอันเป็นกายทิพย์มีอยู่  ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เรา      กายพรหมมีอยู่เราไม่ปฏิบัติมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เรา  ธรรมกายหรือกายพระอรหันต์ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้หมดกิเลส มันก็ไม่ก็ได้ประโยชน์อะไรแก่เรา   ก็เพียงสักแต่ว่ากายเท่านั้นเอง   ในที่นี้ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวถึงกายอันมี สามกายโดยย่อๆก็ขอยุติลงเพียงเท่านี้

แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2014 เวลา 07:27 น.)