postheadericon ชาวศิวิไลช์ในรัชกาลที่ 10

 

 

นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะฯ

ณโอกาศบัดนี้  จะได้กล่าวถึงสภาวะอันเป็นไปของโลก  คือยุคศรีวิไลย์   คำว่ายุคศรีวิไลย์   คือเป็นชื่อของกาลเวลา   ชั่วระยะหนึ่ง   ยุคศรีวิไลย์   กาลเวลาที่จะบังเกิด  ตามชื่อนี้  ก็จะสิ้นระยะกาลรัชสมัยหนึ่งๆ   หรือช่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งๆ     ของเมืองไทย เมืองไทย  ซึ่งได้สร้างเมืองมา  ตั้งแต่  พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก    ซึ่งเป็นองค์ปฐม  แห่งพระเจ้าแผ่นดิน  ในวงค์นี้  คือวงค์รัตนโกสินทร์ ก็พระเจ้าแผ่นดินองค์แรก  ชั่วระยะพระเจ้าแผ่นดินทรง    ครองราษฎสมบัติอยู่  องค์ต้นก็เรียกว่ายุคที่๑  องค์ที่๒ก็เรียกว่ายุคที่๒  องค์ที่๓ ก็เรียกว่ายุคที่๓  ก็เมื่อองค์ที่๔ มาสืบแทน  องค์ที่ ๔ สิ้นไป  องค์ที่ ๕ ก็มาสืบแทน  สืบกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้  ชื่อว่ายุคหนึ่งนั้น   มีเจ้าผู้ครองแผ่นดิน  ของประเทศไทย   แต่ละองค์ๆ   ชื่อว่ายุคในที่นี้   ก็มีหลายยุคด้วยกัน  มีถึง๑๐ยุค  ๑๒ยุค  คือนับตั้งแต่ยุคต้น  ยุคต้นเรียกว่า  ยุคมหากาฬ  ยุคที่สองเรียกว่าภารยักษ์  ยุคที่๓  ยุคที่ ๔ที่๕   ก็มีชื่อเรียกกันไป  ตามลำดับ

คือ ภารยักษ์   รักมิตร   สถิตธรรม   จำแขนขาด    ราษฎโจรัญ   ทันทุกข์    ยุคทมิฬ    ถิ่นกาขาว    ชาวศรีวิไลย์  ไทยมหารัฐ    แล้วก็จักรพรรดิราษฎ 

 

alt

 

ก็ท่านกล่าวกันไว้เป็นยุคๆ   ดังที่  ท่านพระคุณเจ้ากล่าวมานี้  ถามว่าในปัจจุบันนี้เป็นยุคอะหยั๋ง   ก็มีคำตอบว่า  ยุคถิ่นกาขาว  ยุคถิ่นกาขาวเป็นอย่างไร   ก็ได้แก่     รัชสมัยพระภูมิพลอดุลยเดช   องค์ปัจจุบัน  ที่ครองราษฎสมบัติอยู่ในประเทศไทย    อันนี้ได้แก่ถิ่นกาขาว    ยุคถิ่นกาขาวก็ดูเหมือนกับว่า ถูกต้องตามรูปเรื่อง  หรือความเป็นมาของแต่ละยุค  แต่ละยุค   ถิ่นกาขาวหรือถิ่นตาขาว   อันนี้ก็คือมีคนเข้าวัดปฎิบัติธรรม  นุ่งขาวห่มขาว รู้จักหันมาสวดมนต์ภาวนา เจริญกรรมฐานทุกชั้นทุกเพศทุกวัย อันนี้ท่านเรียกว่าถิ่นกาขาว หรือถิ่นขาวสะอาดก็ได้เหมือนกัน ขาวสะอาดก็คือ  หันเข้ามาปฎิบัติในทางศีล  ทางธรรมนั่นเอง  เข้าวัดเข้าวา   รู้จักบำเพ็ญตน  เจริญศีลเจริญภาวนา   ก่อนหน้านี้คือคนไทย    ก็น้อยนัก   ที่จะรู้จักหันเข้ามา   เจริญศีลธรรมกรรมฐาน    ไม่เคยรู้ว่าภาวนามันเป็นอย่างไร กรรมฐานมันเป็นอย่างไร  ก็เพราะว่าคนนอกทั่วๆไป  ไม่ได้ยินมาก่อนไม่รู้เรื่องมาก่อน  แต่เข้ามาในรัชสมัยเรานี้ ดังที่ได้กล่าวก็รู้สึกว่า  มีประชาชน  ได้รู้จักกรรมฐานภาวนา  รู้จักมานุ่งขาวห่มขาวปฎิบัติธรรม  รู้จักถือศีล๘  รู้จักงดเว้นปลาเนื้อ    นี่ก็คือเข้าลักษณะ ที่เรียกว่า   ถิ่นกาขาวหรือถิ่นขาวสะอาด  ถิ่นขาวสะอาดก็บังเกิดขึ้นในประเทศไทย ราว ๓๐-๔๐ ปีมานี้   แต่ก่อนนี้ก็ไม่ค่อยจะรู้กัน   แล้วยุคนี้จะดำรงค์อยู่    หรือมีชื่อไปจนถึงรัชกาลองค์ใหม่ รัชกาลองค์ใหม่ก็จะเปลี่ยนชื่อ   เปลี่ยนยุคมาเป็นยุคชาวศรีวิไลย์ แล้วจะเป็นอย่างไร    อันนี้ก็จะขอนำมาแสดงต่อไปข้างหน้า   ทีนี้จะขอย้อนกล่าว    ถึงเรื่องการที่จะเปลื่ยนแปลง       ยุคหรือที่จะถึงยุคใหม่   มันก็มักจะมีอะำำไรบันดลบันดาล   หรือที่เรียกว่า  ธรรมดาตกแต่่งให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย  ให้เปลื่ยนแปลงเป็นยุคขึ้นมาใหม่     หรือเป็นสมัยขึ้นมาใหม่   ก็เพราะว่าก่อนที่จะ   ถึงเป็นสมัยขึ้นมาใหม่    มันจะต้องเปลื่ยนแปลง   หรือมีอะไรที่ทำให้สูญเสียไป       เหมือนกับคำทำนายที่กล่าวกันไว้   หรือคำพยากรณ์    หรือคำบอกเล่า    ที่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นวิตกอยู่มากๆ    อันจะมีมาในระยะใกล้ๆนี้    สิ่งที่ท่านพระคุณเจ้าก็ได้นำมาเล่า   เมื่อศีลที่แล้วมานี้    ก็เป็นคำพยากรณ์   หรือคำบอกเล่า   ของท่านผู้รู้ๆหลายๆท่าน   ว่าภัยพิบัติิอันจะเกิดขึ้นแก่มนุษย์โลก    หรือแผ่นดินหรือโลกมนุษย์นี้  ในระยะใกล้ๆนี้    คือพ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๒   อีกนัยหนึ่งพ.ศ.๒๕๔๒-พ.ศ.๒๕๔๔      อันนี้กล่าวไว้ ๒ นัย      ตามที่ท่านอาจารย์องค์หนึ่ง         ซึ่งท่านได้ภาวนารู้เห็นใน  สภาวธรรมอันจะเกิดนั้น   หรือเทวดามาบอกเล่ากับท่าน เรื่องภัยภิบัติิ  อันน่าหวาดกลัวนั้นก็คือ  ทั่วโลกๆ  จะถึงซึ่งความวิบัติมากมาย แผ่นดินจะจม    ลงในมหาสมุทร   หรือกลายเป็นทะเล   ประเทศบางประเทศ  ที่เป็นเกาะ  เช่นญี่ปุ่น   ใต้หวัน  สิงคโปร์  ฟิลิปปินส์  อะไรเหล่านี้  ที่เป็นประเทศ  เป็นเกาะๆ   ท่านว่ามันจะจมหายลงไปๆ  เกือบหมด  ท่านว่าอย่างนั้น  นี้หมายถึงเมืองนอก   แล้วก็อีกประการหนึ่งเช่นภัยพิบัติ   อันจะมาก็เกี่ยวกับสงครามโลก  นี้มันเป็นสงครามอะไร อันนี้เราก็จะเคย ได้ยินกันมาบ้างแล้ว  ครั้งที่ ๒ ผ่านมาแล้ว  แต่ครั้งที่ ๓ จะมาอีก  ครั้งหนึ่งเป็นภัยพิบัติ  จะต้องทำสงครามล้างพลาญ ประหัต  ประหารกัน  จนถึงความพินาศ  อย่างใหญ่หลวง   ทุกสิ่งทุกอย่างที่  เกิดขึ้น  วัตถุ  สิ่งก่อสร้างในโลกนี้  จะสิ้นสูญลง   สะแหลกสะหลายลงหมด  สิ้นยุคสมัยวิทยาศาสตร์ความเจริญต่างๆ  เสื่อมหายไปจะหมดสิ้นลง    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย  นี้ก็คือก่อนที่จะถึงยุคขึ้นมาใหม่  แล้วก็ผู้คนจะถึงซึ่งอัสสัญญี   คือล้มหายตายจากภัยธรรมชาิติต่างๆ   จะสู้รบตบมือ  จะทำสงคราม   หรือว่าแผ่นดินถล่มแผ่นดินหายยุบลง ไปใต้น้ำเป็นท้องทะเล   อะไรเหล่านี้   คนมันจะสิ้นชีวิตลงไปเป็นอันมากมาย  ๑๐ จะเหลือใน ๑ หรืออาจจะ  ไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป   คือความหมาย ๑๐ ใน๑  เปรียบหมายถึง ๑๐ นั้นจะหมดไปเหลือแค่ ๑  ถ้าเปรียบอย่างนี้แล้ว  มนุษย์เราจะหล่อยหลอลงไป    ผู้คนจะล้มหายตายไป  จนเหลือน้อยเพราัะฉะนั้น  วิทยาการต่างๆ   มันจะเสื่อมถอยไปด้วย   การทำสร้างสรรค์วิทยุ   โทรทัศน์  อาวุธอะไรต่่างๆ  เหล่านี้ ที่ทำกันขึ้นมันจะหมดไป   วิทยุเราก็ไม่ได้ฟังกันแล้ว   โทรทัศน์หนังอะไรเหล่า นี้  ก็จะไม่ได้ดูกันแล้ว  หรืออะไรต่ออะไรนี้   มันจะำไม่มีกันแล้วตลอดจนวิทยาศาสตร์   การสร้างสรรค์ต่างๆก็จะหมดไป   กลายเป็นคนยุคป่า  ยุคเถื่อนกันอย่างนั้นละหรือ    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย    แล้วท่านก็มาว่าประเทศไทย  ซึ่งนับว่ามีโชคดีกว่าเปิ้น   ท่านว่าอย่างนั้น    ที่ว่ามีโชคดีกว่าเปิ้นก็ได้แก่  ประเทศไทย    มีพระพุทธศาสนา มีผู้ปฏิบัติธรรม   อยู่ในศีลในธรรมกัน  มากกว่าประเทศอื่น              กว่าเมื่องอื่นๆ รู้จักการมีศิล  รู้จักให้ทาน  รู้จักการเข้าวัดวา    รู้จักบำเพ็ญบารมีทั้ง ๗  ประการแล้วคนประเทศอื่น  ก็จะเหลือน้อย   อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นแหละ   ที่เหลืออยู่ก็จะ        เป็นคนมีสติไม่สมบรูณ์   กลายเป็นคนใบ้  คนบ้า เสียสติ วิปลาสไป ที่ผู้คนต้องซึ่งถึงความวินาศ   ซึ่งทำใจไม่ได้ก็กลายเป็นคนเสียสติไป   ทีนี้คนไทยที่มีพระพุทธศาสนา  ได้ฟังธรรมของท่านผู้รู้  ก็รู้เท่าทันของสภาวะธรรมอันเปลี่ยนแปลงไป   คือกฎอนิจจังไม่เที่ยง   แล้วก็มาปลงอนิจจังไม่เที่ยง  ก็ทำให้มีจิตใจเข้มแข็ง   ขึ้นมาไม่ต้องเสียสติ   แต่คนที่มีจิตใจเบาไม่เข้าวัดไม่เข้าวา  ไม่รู้จักภาวนากรรมฐาน   ไม่รู้จักความแก่ ความเจ็บ  ความตายก็จะกลายเป็นคนที่เสียสติ  มีจริต ไม่สมบรูณ์ไป    ข้อที่ว่าภาคใต้จะจมหาย ไปด้วยคลื่น  ด้วยลม  ด้วยน้ำ  ด้วยแผ่นดินไหวอะไรเหล่านี้   แล้วจะจมหายไปเป็นบางส่วนๆ    แล้วก็มาภาคกลางท่านว่า   กรุงเทพฯ   จะกลายเป็นทะเล   เมืองที่ใกล้  กรุงเทพฯก็จะกลายเป็นทะเลไปด้วย    ท่านผู้ฟังทั้งหลายนี้   วันนี้พูดถึงภาคกลางเพราะแผ่นดินจม   แผ่นดินสั่นสะเทือน   แผ่นดินทรุด  กลายเป็นทะเลไป   แล้วก็มาพูดถึง  ภาคหนือ   แผ่นดินไหว  แล้วตลอดทั่วประเทศจะมืด ๓ วัน ๓ คืน   อากาศจะวิปริต  แล้วก็จะมีอะำไรที่เกิดขึ้น เช่น  แผ่นดินไหว  แผ่นดินร้อน  แผ่นดินยก  แล้วจะมีไฟพุ่งขึ้นจากใต้พื้นพิภพ   ก็ทำให็อากาศมืดมนต์ อนตระการ   แปรปรวน  สนั่นหวั่นไหว  ภูเขาแผ่นดินจะล้ม  จะละลายจะทรุด ไปเป็นบางที่ๆ    บางแห่งๆ  อันนี้   ก็เป็นคำเล่าของท่านที่เล่าไว้    และส่วนภาคอีสาน   ก็มีบางสิ่ง  ที่สำคัญก็คือ  จะมีโรคระบาด  อันติดตามมาทีหลัง  และคนส่วนมากที่เหลืออยู่นั้น   ก็ส่วนมากก็มีเป็นคนที่อยู่ในศีล    ในธรรม  ส่วนคนที่ไม่มีศิล   ไม่มีธรรมนั้น    คนที่เป็นสัตว์นรกมาเกิด    คนชั่ว   คนร้าย   ก็จะมีอันเป็น  จะมีอันหมดไปจากแผ่นดิน   ท่่านผู้ฟังทั้งหลาย    อันนี้ก็คือว่าเป็นคำเล่า    คำเล่าอันนี้ก็ทำให้รู้สึกว่า    เป็นคำที่รุนแรง  จึงทำให้คนฟังแล้วไม่น่าเชื่อ   ที่ว่าไม่น่าเชื่อก็คือที่ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้

ตามความเห็นของพระคุณเจ้า  พระคุณเจ้าก็ว่าไม่น่าเชื่อเหมือนกัน    พระคุณเจ้าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน  ก็เชื่่อเป็นบางส่วนแต่ไม่เชื่อเป็นบางส่วน  

 

alt

 

ที่จะไม่เชื่อเป็นบางส่วนนั้นนะ ก็คือมันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าใน ๑๐๐ ปี  ๑.๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๑๐๐,๐๐๐ ปี มันไม่เคยมี  ในประเทศไทยเรา  แต่ประเทศอื่นๆที่เขามีกัน  มันก็เป็นธรรมดา  อย่างภูเขาไฟระเบิดขึ้น  พ่นไฟขึ้นมา จนบ้านเมืองเสียหาย ถล่มทะลาย   บ้านไม่เป็นบ้าน   เมืองไม่เป็นเมือง   อพยพทันก็รอด    หนีทันก็ทันหนี  ไม่ทันก็ล้มตาย  กันระเนระนาด   แต่ก็เป็นธรรมดาในประเทศอื่นเมืองอื่น  นี้ก็เป็นธรรมดา   ที่เกิดขึ้นเรื่อยๆแต่ในประเทศไทยเรานี้ ไม่เคยมี  ประเทศไทยเรานี้มันอาจจะมีบ้าง แต่นิดๆ หน่อย  แต่จะเป็นถึงขนาดนั้น  มันก็คงไม่อาจเป็นอย่างนั้น   เพราะประเทศไทยเป็นเมืองที่งอกออก  คือ มีท้องทะเลตื้นๆ   เรียกว่าเป็นอ่าวเล็ก   ไม่เหมือนกับเมืองใหญ่ๆ   ที่มีทะเลมหาสมุทรกว้างๆ    เมืองเล็กทะเลเล็ก  ทะเลตื้นอย่างนี้ คือ มันจะเป็นไปได้หรือ  จะจมหายไปเป็นเมืองๆ  เป็นส่วนๆนั้นนะคงจะเป็นไปได้ยาก   เพราะตามที่่รู้ที่เห็นมา  เมืองตื้นๆอย่างนี้  มีแต่จะงอกออกไป  งอกกว้างออกไปๆ    เป็นหาดทราย  นานไปก็มีต้นไม้   มีบ้านมีเรือน   มีไร่มีนาขยายออกไป     คือบ้านเมืองไทยเรานี้   มันเป็นอ่าวเล็ก  อ่าวตื้น   มันมีแต่จะงอกออกไปแต่เมืองอื่นไม่อาจจะรู้ได้     ทีนี้มันจะถล่มทลาย  เป็นบางส่วนเล็กๆน้อยๆ   อันนี้มันอาจจะมี  เป็นคลื่นเป็นลมเป็นธรรมดา    แต่จะถึงกับใหญ่โตหายไปเ็ป็นเมืองๆ   อย่างนี้   ก็ไม่น่าเชื่อ   กรุงเทพฯจะหายไปเ็ป็นท้องทะเลอย่างนี้   ก็ไม่น่าเชื่อเพราะมันไม่เคยมี  มันจะมีมันต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง  ไปทีละน้อยๆ   แต่ที่กรุงเทพฯทรุดนั้น         ก็ทรุดจริงอยู่  เพราะมันทรุดมานานแล้ว  อันนี้มันก็ไม่มีข้อน่าคิดอะไร    เพราะกรุงเทพฯนี้    เป็นเมืองที่อยู่ในแหลมที่ยื่นออกไปในน้ำ    แล้วก็สร้างบ้านสร้างเมืองขึ้นมา   สร้างตึกที่มีน้ำหนักมาก    แล้วอีกประการหนึ่ง     ก็เอาน้ำในบาดาลสูบขึ้นมา        สูบขึ้นมาใช้เป็นน้ำประปา   มันก็ทำให้พื้นแผ่นดิน  นั้นกลวง  แล้วก็มีแต่น้ำคววมๆ อย่างนี้   มันก็ยุบลงไปได้  ทรุดลงไปได้ทีละน้อยๆ  ปีหนึ่งก็ยุบลงไปที่หนึ่งๆ   ยิ่งมีน้ำท่วมมาก อย่างนี้ด้วยแล้ว   ก็ยิ่งทรุดลงไปมาก  ท่านผู้ฟังทั้งหลาย   อันนี้ก็เป็นธรรมดา  อันนี้แผ่นดินทรุด    ก็ทรุดจริงอยู่แต่จะทรุดหาย   ไปเป็นเมืองๆนั้น  จมหายไปทันทีทันใดนั้น   คงจะไม่มีอย่างนั้น   แต่ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯเราหวนไปหาอดีตกาล   เพราะอดีตกาล   ไม่ค่อยเดือดร้อนเหมือนในปัจจุบันนี้   สมัยปัจจุบันนี้  มันทำให้คนกรุงเทพฯ   ค่อนข้างรู้สึกว่าไม่ค่อยจะม่วน  อากาศก็ไม่ค่อยจะดี  น้ำก็ท่วมบ่อยๆ  อย่างนี้  ก็แสดงว่าแผ่นดินมันต่ำลง  มีฝนตกมาหน่อยหนึ่งน้ำก็ท่วม   ไม่อาจที่จะแก้ไขได้   อันนี้แผ่นดินทรุดมันไม่ใช่จะทรุดไปทีเีดียว  อย่างที่ท่านว่า  ทีนี้การที่ค่อยๆทรุดนี้มันเป็นไปได้   ท่านผู้ฟังทั้งหลาย  การที่ทรุดลงไปมันก็อาจจะมีโอกาสที่จะงอกขึ้นสูงขึ้นเหมือนกัน   เราไม่อาจจะรู้ได้     เพราะโลกนี้มันไม่เที่ยง   แต่ถ้่่าเป็นสมัยเจริญยุคศรีวิไลย์หรือยุคต่อๆไป        มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ได้ alt

ทีนี้มาพูดถึงยุคใหม่ที่จะมาข้างหน้านั้น   ตามคำทำนายของหลวงปู่วานิชย์   หรืออาจารย์หลายๆท่าน  ได้ทำนายกล่าวไว้นั้นว่า   ยุคศรีวิไลย์   อันจะมาเบื้องหน้านั้น  ว่ากันว่าอีกตั้ง ๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปี  จะมีเพชรนิลจิลดา   ผุดขึ้นมาเกลื่อนกลาดไปหมด    เพชรนิลจิลดาของล้ำค่า    ตลอดจนเงินทองหน่อเงินหน่อคำ   เหล่านี้มันจะผุดขึ้นในแผ่นดิน   มันจะมาในยุคศรีวิไลย์    จริงหรือที่ท่านว่ามานี้    มันก็เป็นเวลาที่ดูเหมือนจะไม่ตรง กับที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมาตะกี้ข้างต้น   ว่ายุคศรีวิไลย์  ไม่ใช่จะอีก  ๓๐๐ ปี  ๔๐๐ ปีข้างหน้า    ยุคศรีวิไลย์  ที่ท่านพระคุณเจ้ากล่าวไว้นี้  มันอยู่ไม่ไกล   คือมันอยู่ไม่ไกล   เมื่อหมดจากพระเจ้าแผ่นดินของเรา  องค์นี้แล้วมันก็จะเป็นยุคศรีวิไลย์แล้ว   จะเป็นอีก ๓๐๐ ปี   ๔๐๐ ปี ได้อย่างไร   ท่านผู้ฟังทั้งหลาย   ยุคหนึ่งๆ       ท่านพระคุณเจ้า  ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า   มันหมายถึงชั่วพระเจ้าแผ่นดิน องค์หนึ่งๆ    ทรงครองราชฯสมบัติบนแผ่นดินไทย  เพราะฉนั้นยุคศรีวิไลย์  มันจะถึงอีก ๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปี  นั้นไม่ใช่   คือมันจะมาในระยะใกล้ๆนี้เอง   คือหลังจากเมื่อพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้สิ้นสุดลง   ก็จะเป็นยุคใหม่ 

ยุคศรีวิไลย์    ที่จะเปลี่ยนแปลง   เป็นยุคที่ดีขึ้นมาทันทีทันใดนั้น   มันจะต้องมีอะไรขึ้นมาสักน้อยหนึ่งกระมั้ง    คือหมายความว่ามันต้องมีภัยพินาศเหมือนกัน  ก็มีภัยพินาศเหมือนกัน   ถ้าเรามาดูตามเรื่อง  ภัยพิบัตินั้น   มันจะมาในรูปแบบใหน   เพราะยุคที่จะเปลี่ยนแปลงไปนั้น   มันจะต้องมีอะไร   ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเสียก่อน   เ้หมือนกับคนที่จะสร้างบ้าน  สร้างเรือน  จะทำสวน  จะทำนา   จะพัฒนาบ้าน  จะพัฒนาเมือง  ก็ต้องมีการปราบกัน    คำว่าปราบ  หมายความว่า  ปรับปรุง  ปราบปรามเสี้ยนหนาม  ตอ  หรือ แผ่นดินที่มันขลุๆขละๆ  ไม่ราบเรียบ  สม่ำเสมอ  คือปราบให้มันราบ  ปราบให้มันเรียบ  ให้มันเป็นที่ตั้งบ้าน   ให้มันเป็นที่ตั้งเมือง  อะไรเหล่านี้   ถ้ามีต้นไม้  มีต้นตอ  หรืออะไรที่ใช้ไม่ได้   ไม่เป็นประโยชน์ ก็จะต้องตัด   ต้องขุด       ก็จะต้องล้มลง  จะต้องปราบลง  หรือทำให้เป็นประโยชน์   จึงจะสร้างเป็นบ้านเป็นเรือน   เป็นแผนป็นผังขึ้นมาได้  ไม่ต้องดูมาก  ดูอย่างในไร่เขาเถอะ   ในไร่ก่อนที่เขาจะปลูกอะไรลงไป    ปีหนึ่งปีหนึ่ง   แม้แต่ต้นผักต้นหญ้า   ต้องปราบกันทุกปี    ต้องไถกันต้องพลิกแผ่นดินกันจึงจะปลูกได้    พวกชาวดอยล้มต้นไม้กันเผาป่ากัน    จะใส่ข้าวโพดข้าวไร่ไป   ก็ต้องฟันต้นไม้เผาป่ากันจนหมด   ราบคาบ    พอฝนตกมาก็เอาแล้วทำที่ดินปลูกข้าว   ปลูกผักปลูกอะไรต่อมิอะไร ก็ปลูกกันไป    ท่านผู้ฟังทั้งหลายฉันใดก็ดี    อันนี้มันจะเปลี่ยนยุคขึ้นมาใหม่   ก็ย่อมจะมีอะไรอยู่บ้าง    ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นยุคศรีวิไลย์   ก็หมายความว่ายุคศรีวิไลย์   นั้นก็คงไม่มีคนชั่วร้ายใจทราม    ก็คงมีแต่คนดี    คนไม่ดีก็จะหมดไปด้วยเหตุต่างๆ   อันที่จะมาทำให้คนชั่วหมดไปนั่นแหละ 

แต่จะหมดไปด้วยอำนาจอะไร   จะด้วยน้ำ ด้วยดิน ด้วยลม ด้วยไฟ  หรือด้วยการถูกเข่นฆ่า   หรือด้วยโรคภัย ไข้ พยาธิลงมาสู่แผ่นดิน  อันเราก็อาจจะไม่รู้ได้   หลังจากนั้นคนชั่วคนอธรรมทั้งหลาย   ก็คงจะหมดไป   เมื่อหมดไปหลอยหล่อไป   แล้วจะเหลือคนที่สืบสกุลศีล     สืบสกุลธรรม   คือศีลห้ากรรมบท๑๐   คนที่มีศีลห้ากรรมบท๑๐  อันนี้แหละ   จะเป็นคนที่สืบคน   แล้วก็จะเป็นคนที่สืบไป    จนเป็นต้นเหตุของผู้ที่จะสร้างสรรค์   วัฒนธรรม  ให้ผู้มาบังเกิดเป็นคนที่มีศีลมีธรรมขึ้นมา  สืบสายเลือด  ท่านผู้ฟังทั้งหลายศีลห้า  กรรมบท๑๐ ที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมานี้  ท่านทั้งหลายคงได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว   ยุคศรีวิไลย์ จะมีแต่คนดี   ก็มีแต่คนดีเพราะต่างมีศีลห้ากรรมบท๑๐กันทั้งนั้น  แล้วก็ท่านว่า     ยุคศรีวิไลย์จะมีต้นกัลปพฤกษ์ บังเกิดขึ้น   ก็ดูเหมือนจะมีอยู่  และขอให้คนเรานั้น ตั้งใจอยู่ในศีลห้ากรรมบท๑๐  อยู่ในศีลในธรรมกันแต้ๆ   ยุคศรีวิไลย์  จะมีลักษณะเป็นอย่างไร  คนนั้นก็จะเป็นคนสวย  จะเป็นคนงาม  จะเป็นคนดีมีน้ำจิตมีน้ำใจดีกันทั้งนั้น   ไม่มีอาฆาตมาดร้าย ไม่มีโกรธไม่มีเกลียด ไม่มีภัยไม่มีเวร  คือไม่กินเนื้อสัตว์อะไรเหล่านี้ ก็ไม่มี     จะดูให้ง่ายๆ   ก็ดูคนที่เข้าวัดปฎิบัติธรรม   ไม่ต้องทำมาหากิน   มันก็มีอยู่   มีกินเอง      ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร   ก็คนในยุคศรีวิไลย์นั้น     ถ้าเปรียบแล้วก็เหมือนอย่างนี้แหละ   การนุ่งการห่ม    ก็จะเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยไป     คนที่เป็นผู้หญิงผู้ชาย    นุ่งห่มเหมือนกัน   อันนี้ก็จะหมดไป   เพราะสมัยนี้มันผู้หญิง   ก็นุ่งเตี่ยวกางเกง     ผู้ชายก็จะนุ่งแต่งตัวเหมือน ผู้หญิง   ไว้ผมยาวอะไรอย่างนี้ก็จะหมดไป     ผู้ชายก็จะเป็นผู้ชาย    ผู้หญิงก็จะเป็นผู้หญิง     ท่านผู้ฟังทั้งหลาย    ก็คนในยุคศรีวิไลย์นั้น    จะมีอารยธรรม  คือเป็นคนดี   มีศีล    มีธรรม อันสมบูรณ์    พืชพรรณธัญญาหาร   ก็จะเกิดขึ้นเอง    อุดมสมบูรณ์พูนสุข    แก้วแหวน  เงิน   ทอง    ก็ถึงจะมีขึ้นเกิดขึ้น  มันก็ไม่มีประโยชน์   ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีประโยชน์   อะหยั๋ง    ไม่มีใครปราถนา             แก้วแหวนเงินทองเกิดขึ้นมา    เป็นกอบ เป็นกอง    ก็ไม่มีใครสนใจเท่าไร    เพราะว่าจะเอาไปทำอะไร  กินก็ไม่ได้   ใช้งานก็ไม่ได้    ที่ดีก็คือว่าของกินประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ     ก็อยู่ดีมีสุขแล้ว     เหมือนกับคนที่ปฏิบัติธรรม   เหมือนกับคนที่พระคุณเจ้าได้ว่ามานี้  

  alt

ไม่ต้องกังวลอะไรกับเรื่อง  ทำมาหากิน   ท่านทั้งฟังทั้งหลาย ยุคศรีวิไลย์  ที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวมานี้   คือไม่ใช่หมายถึงอีก ๓๐๐ ปี  ๔๐๐ ปี  หรือเป็นยุคของพระศรีอาริยะเมตตรัย ก็ไม่ใช่   แต่เป็นชื่อของยุคในส่วนหนึ่ง    ของสมัยหนึ่งในราชการเรานี้    ของเมืองไทยเรานี้   อันจะมีต่อในยุคปัจจุบัน  คือยุคถิ่นกาขาว   หรือถิ่นนุ่งขาว   ห่มขาวกัน   แล้วก็จะต่อในยุคนี้   เพราะฉนั้นประเทศไทยเรา  ก็คงไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ    คำพยากรณ์ที่เป็นยุคๆ  ๑๒ ยุค  นี้ตามที่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย   ได้สังเกตมาก็เป็นความจริงทั้งนั้น   เพราะฉนั้นเราจะไปเชื่อถือเอาคำใหม่ๆ   หรือคำนอกๆนั้น   โดยเอาเต็ม  ๑๐๐ เปอร์เซ็น   ก็จะทำให้เกิดความวิตกกันมากขึ้น   หรือว่าบ้านเมืองจะถึงภัยพิบัติ    ถึงขนาดนั้นก็จะทำให้ความเป็นอยู่   หรือภาวะการนอนไม่หลับ   ให้เกิดกังวลขึ้นมาได้   ก็เพราัะฉนั้นประเทศไทยเรา   ท่านว่าคงไม่เหมือนอย่างนั้น   แต่ถึงจะมีบ้างมันก็เป็นภัยธรรมชาติ     ธรรมดาๆนั่นเอง   แต่ว่ามันก็มีอะไีีรให้มากๆสักนิดสักหน่อย   ในที่เขามีมากกว่าเราหลายสิบหลายร้อยเท่า   แต่เมืองไทยเราก็นับว่าโชคดีกว่าเปิ้น    ท่านว่าอย่างนั้น    แต่ท่านพระคุณเจ้าก็อนุโลมว่ามันก็คงจะเป็นอย่างนั้น   ในเมื่อคนเราตั้งอยู่ในศีลในธรรม 

 พระพุทธศาสนายังไม่หมดไปจากโลกนี้

 

เทพยดาอารักษ์   ก็จะต้องช่วยปกปักษ์   รักษา  ช่วยถนุถนอม   แต่ท่านหลวงปู่วานิชย์  หรืออาจารย์วานิชย์  ที่ท่านกล่าวนั้น  ท่านว่าพวกมีฤทธิ์ทั้งหลาย  ในครั้งที่แล้วนั้นเมืองไทยเราหรือโลกเรานั้น   แทบจะถึงภัยพิบัติใหญ่หลวง  แต่พวกมีฤทธิ์ทั้งหลายได้ช่วยยับยั้งไว้   แต่ท่านว่าควาวนี้  พวกมีฤทธิ์ทั้งหลายยับยั้งไม่ได้   เพราะเวรกรรมได้สะสมไว้    มานานแล้ว  ย่อมจะต้องมาชดใช้ซึ่งกันและกัน  ไปตามอำนาจของกรรมเก่า   คนที่มีอันเป็นก็ต้องจะเป็น   คนที่มีอันตายก็จะต้องตาย   คนดีๆก็จะต้องเหลือท่านว่าอย่างนั้น    ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย   ท่านพระคุณเจ้าได้แสดงมาถึงเรื่อง  ยุคศรีวิไลย์  อันจะมีมาในข้างหน้า    ก็คือยุคต่อจากรัชสมัยปัจจุบันภูมิพลอดุลยเดชของเรานี่เอง    แสดงมาย่อๆ  ถึงเรื่องราวอันเป็นมาเเละเป็นไปของกาลเวลา  ก็ขอยุติลงด้วยประการฉะนี้

 

เทศน์เมื่อปี /2536 ที่มา;อาศรมไผ่มรกต.com

แก้ไขล่าสุด (วันจันทร์ที่ 05 ธันวาคม 2016 เวลา 17:24 น.)