postheadericon ประทักษิณเวียนเทียน

ประทักษิณเวียนเทียน

ประทักษิณเวียนเทียน   เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ  เป็นพลังเร้นลับ   คนไม่รู้ก็จะถามว่า  เวียนทำไม  มีประโยชน์อะไร  

 การเวียน   ก็เพื่อให้เกิดพลังบุญ  เกิดสวัสดีโชคลาภ  พร้อมทั้งคลายทุกข์โศกโรคภัย  และเวรต่างๆ 

 เวียนอะไร  ที่ไหน  ก็คือเวียนปูชนียวัตถุสูงสุด   มีต้นศรีโพธิพฤษ์  พระเจดีย์บรมธาตุ  พระพุทธรูปปฏิมากรเป็นต้น   ปูชนียวัตถุเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าๆเป็นเนื้อนาบุญของโลกอันหาได้ยาก  เกิดขึ้นยากในโลกเหมือนกับว่า  หน่อแก้ว  หน่อคำ  หน่อเงิน เกิดขึ้นในป่า  ไม่ใช่ของใคร  คนใดพบแล้วในป่า   ไม่รีบเก็บโกยเอาก็โง่เต็มที  

พระพุทธเจ้า   เป็นบ่อทิพย์บ่อธรรมอันอุดมเป็นที่ไหลออกแห่งความสมหวังทุกประการ 

การเวียนๆ  ไปหนึ่งก้าวย่าง  ย่อมเป็นบุญอันเลิศ  เกิดขึ้นทุกก้าวย่าง  ถ้าหากจะกล่าวเป็นทรัพย์ย่างไปก้าวหนึ่ง  ทรัพย์ก็ไหลออกมาให้แสนหนึ่ง  ถ้าเดินไปหลายๆ ก้าวย่าง  เพียงแค่  ๑๐  ก้าว  ก็จะเป็นทรัพย์ออกมาเป็นล้าน   ถ้าเราเดินให้มาก  ความสมหวังอันไหลออกมา  ก็ย่อมเพียงพอ  คือเหลือกิน เหลือใช้  ก็จะเป็นคนไม่มีทุกข์   เวียนรอบสิ่งอื่น   ที่ไม่ใช่ปูชนียวัตถุพุทธเจ้าจะเป็นบุญหรือไม่   การเวียนรอบสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พุทธนั้นเป็นบุญก็มี ไม่เป็นบุญก็มี   แต่คงไม่ใช่บุญเลิศ  เพราะว่าพระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณอันไม่บกพร่องใหญ่หลวง   เป็นอัปปมาโณพุทโธ    คือคุณนั้นกว้างใหญ่จนหาประมาณมิได้  เหลือประมาณได้  

 การเดินรอบ    จะเป็นรอบกว้างหรือรอบแคบ  ก็ย่อมอยู่ในกฏเกณฑ์เดียวกันคือ  กฎวงจักร  ๑๐๘ องค์เหมือนกัน   เริ่มที่ใดเวียนมาถึงที่เดิมนั้นก็เป็น  ๑๐๘  และกฎจำกัดอีกประการก็  คือ  ต้องเวียนขวา   ซึ่งหมายถึงเวียนไปทางใต้    เพราะการเริ่มเราต้อองเริ่มทิศด้านใต้  เนื่องจากว่าทิศด้านใต้เป็นทิศต่ำ   กล่าวโดยตรง  ก็คือ  เราจากที่ต่ำไปหาที่สูง   ที่สูงคือด้านทิศเหนือ   ณ  ที่นี้  เราอุปมาเหมือนมี   ๒  ทิศ  ทิศขวา  กับทิศซ้าย 

 ทิศซ้าย   หมายถึง   ทิศเหนือแห่งโลกเรา   ทิศขวา หมายถึง  ทิศใต้แห่งโลกเรา   โลกเราทิศเหนือสูง  ทิศใต้ต่ำ   

ว่าถึงที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์  และเมืองพรหมนั้นอยู่ทิศเหนือของโลกเรา

ทิศใต้โลกเราคือ  ชมพูทวีป  เป็นเมืองมนุษย์ๆอยู่ติดสมุทรน้ำเค็ม   เทวโลกอยู่เหนือเขาสุเมรุ   ซึ่งเขาสุเมรุเป็นที่สูงกว่าภูเขาทั้งหมด   ๘๔๐๐๐  ยอด    ส่วนเมืองพรหมนั้นสูงกว่าสูงกว่าสวรรค์  ๖  ชั้นไปอีกเมื่อเราเวียนๆ  ไปหนึ่งรอบก็เท่ากับว่าเราเวียนไปรอบโลก  เราไปหนึ่งโลก   พร้อมทั้งเทวโลกและพรหมโลก ด้วย  แต่เพราะเราเวียนไป  ๓  รอบจึงเป็นของเทวโลก   ๑  รอบ  ของพรหมโลกอีก  ๑ รอบ

วียนเทียนฯ

เวลาทำประทักษิณเวียนเทียน เราจะทำใจอย่างไร จะเอาอะไรมาเป็นอารมณ์

ให้เอามรรคมีองค์แปด  ในพระธัมจักรมาเป็นอารมณ์บทนำ มรรค คือ ทางแปด มีสัมมาทิฏฐิเห็นชอบเป็นต้น

รอบแรกเดินไปว่าไป

(ใช้ทำนองสวด)

ทางเอก มีแปดอย่าง ทางสายกลาง วิสุทธี เป็นเอก อื่นบ่มี เป็นเอกที่ พ้นทุกข์ภัย

เห็นเกิดแก่เจ็บตาย ลับเลือนหาย ห่วงโหยไห้ เป็นเพลิง ผลาญเผาไหม้ เห็นแจ้งใจ สวัสดีฯ

สัมมาทิฎฐิ   สัมมาสังกัปโป

สัมมาวาจา   สัมมากัมมันโต

สัมมาอาชีโว   สัมมาวายาโม

สัมมาสติ       สัมมาสมาธิฯ

ปทักขิณัง กายกัมมัง ปทักขิณัง วาจากัมมัง

ปทักขิณัง มโนกัมมัง ปทักขิณังมโนกัมมันติฯ

อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ; วิชชาจรณสัมปันโน สุคโตโลกวิทู; อนุตตโรปุริสธัมมะ สารถิ ศรัทธา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควา ติ ฯ

รอบที่สองก็เหมือนรอบแรก เปลี่ยนจากอิติปิโส มาเป็นสวาขาโตฯ

รอบที่สามก็เหมือนรอบแรก ใช้มรรคแปดเป็นอารมณ์ บทนำแล้วก็ ตอนท้ายเปลี่ยนมาเป็นสุปฎิปันโนฯ

คำว่ารู้วางว่างอยู่ ถอดเอามาจากมรรคมีองค์ ๘ ข้างต้น ซึ่งหมายถึงเห็นชอบ ทำสมาธิชอบ อันเป็นคู่แรกยอดเยี่ยม

      ๑.คู่แรก    รู้วางว่างอยู่  คือ นิพพานสมบัติฯ

      ๒. คู่รองถัด  เข้าอู่ดูไข  คือ  พรหมสมบัติฯ

 

                ๓. คู่ที่สาม  พูดงามเพียรดี  คือ เทวสมบัติฯ

 

 

         ๔. คู่ที่สี่   กัมดีกินใส  คือ มนุษย์สมบัติ

 

         แต่ละคู่  จะมีว่าง ๔ ว่าง   รวมมีว่าง  ๑๖ ว่าง                                                      

 

      ๑. ว่างขั้นยอดคู่่เอก มี  ๔  ว่างจากสังขารปรุงแต่ง, ว่างจากราคะ ,ว่างจาก   โทสะ,    ว่างจากโมหะ,

 

      ๒. ว่างขั้นรอง  คู่โท  มี ๔  ว่างจากการครองเรือน, ว่างจากพยาบาท, ว่างจากเบียดเบียน, ว่างจาก  อิฏฐารมณ์

 

      ๓.  ว่างขั้นสาม  คู่ตรี มี ๔ ว่างจากพูดเท็จ , ว่างจากพูดคำหยาบ, ว่างจากพูดส่อเสียดเพ้อเจ้อ ,ว่างจากบาปอกุศล,

 

      ๔.  ว่างขั้นสี่  คู่จัตวา มี ๔ ว่างจากฆ่าสัตว์, ว่างจากลักของเขา , ว่างจากผิดทางกาม, ว่างจากมิจฉาชีพ,

 

   การที่ต้องเดินประทักษิณ

 

   ได้กล่าวข้างต้นแล้ว  ว่าเดินประทักษิณ เป็นที่ไหลออกแห่งคุณ  คือ  พระพุทธคุณ  เหมือนฝนหลั่งลงมาจากฟ้าหรือแสงสว่างหลั่งออกมาจากดวงจันทร์ย่อมให้สรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกอุดมสมประสงค์  คือให้แก่คนที่กระทำถ้าคนเราใครเคลื่อนไหว  ผู้นั้นก็ย่อมจะเจริญอุดมสมประสงค์   

 

    ถ้าไม่เจริญ   ไม่เคลื่อนไหว  ไม่สมประสงค์ จะเป็นอย่างไร  ผลก็คือตกต่ำ  ตกถอย  เหมือนคนตกรถตกเรือ  ย่อมจะไม่มีบุญเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ย่อมจะมีแต่บาปเป็นเครืองหล่อหลอมจะมีแต่ทุกข์ทรมานฝ่ายเดียว  เพราะจิตวิญญาณมิใช่ว่าจะสุดลงแก่ความตายในโลกนี้เท่านั้น

 

     แผ่นดินเรา  ที่ยังไม่เป็นแผ่นเหล็กทองแดงดังถ่านไฟ  ก็เพราะมีน้ำฝนลงมาจากฟ้า   และแสงจันทร์เปล่งกระจายมาจากฟ้า   ก็เพราะความเคลื่อนไหวนั่นเอง   มนุษย์ เราจึงมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์   ที่มีอยู่อาศัยร่มเย็น  มีป่าไม้ลำธารเอิบอาบหล่อเลี้ยง

 

     ความเคลื่อนไหว   ก็คือความหมุนไปของโลกที่เรียกว่าเวียนขวาเพราะฉนั้น  ประทักษิณ  เวียนปูชนียวัตถุ  มีโพธิพฤษ์   พระเจดีย์ธาตุ  เป็นต้น  จึงเป็นที่ไหลออกแห่งบุญอันเลิศ

 

     พระธรรมจักร  ๑๐๘  หรือ จักร  อันมีองค์ ๘  ที่หมุนได้เคลื่อนไหวได้ก็เพราะแรงแห่งรูปธรรม   นามธรรมผสมกัน  ก็ทำให้จักร  คือ  โลกหมุนไป, ตราบใดถ้าแรงแห่งรูปธรรม   นามธรรมถอยลง  โลกเราก็จะมีอันตราย  คือทุกข์มาก  สุขน้อย  เบียดเบียนกันมาก  ฆ่าฟันกันมาก   เมื่อแรงรูปธรรม  นามธรรมหมดลง โลกก็จะแตกทำลาย

 


แก้ไขล่าสุด (วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2013 เวลา 11:22 น.)