มาฆบูชา
วันมาฆบูชา
อยÂ
"วันมาฆบูชา" ลองใช้วันมาฆบูชาเป็นวันที่ในทะเลทราย 1,250 รูปที่ทำให้ได้รับใบอนุญาตตามกฎต่อไปนี้ในการประชุมต่างๆ เช่น ประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันโดยชอบนัดหมาย"
อยÂ
ลองใช้วันมาฆบูชาคือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่ป่าดิบชื้นที่จะช่วยให้ทราบมาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนคือหลักคำสอนต่างๆ สาระสำคัญจะมีเนื้อหาว่า "ทำความดีละเว้นการกักขังทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
วันมาฆบูชาสามารถทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 สิทธิพิเศษหลายประการ
1.ตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
2. มีจำนวนมากมาย 1,250 มาประชุมพร้อมกันโดยนัดหมายล่วงหน้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พิธีสมโภชพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. ติดตามมาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นคราวที่ต้องทำผู้ได้อภิญญา 6
4. ตรวจสอบทั้งหมดที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
และเพราะโชคชะตา 4 ดลบันดาลให้วันมาฆบูชาอีกชื่อหนึ่งเป็น "วันจาตุรงค์คสันนิบาต" ซึ่งแปลว่า "จาตุรงค์คสันนิบาต" ความหมายตามคำบรรยายคือ
- จาตุรเล่น 4
- ส่วนประกอบทั้งหมด
- สันนิบาต เล่มประชุม
รูปแบบเงื่อนไข "จาตุรงคสันนิบาต" อ้างถึง "องค์ที่มีองค์ ๔" นั่นเอง
วันมาฆบูชากับหลักธรรมที่จะนำมาปฏิบัติ
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" มีคำถามหลักคำสอนที่สำคัญเกี่ยวกับหัวใจของคำถามเพื่อที่จะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ หลักธรรมประกอบด้วยหลัก 3 ทำตาม 4 ที่เหลือ 6 ตามมา
หลัก 3 คือหลักการสอนที่ควรปฏิบัติประกอบด้วย
1. การไม่ชำระบาปทั้งหมดคือต้องละเว้นการเลิกทำบาปทั้งปวงรวมถึงอกุศลกรรมบถ จุดที่ส่อเสียดชุมนุมเพลเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากดินแดนคลองธรรม)
2. ตารางเวลาการกุศลให้ถึงพร้อมคือการทำความดีทุกอย่างตามกุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย กะ) ยอดเยี่ยมทางแล้ว (ไม่พูดกรณี ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดว่าไม่ต้องพูด เพ้อเจ้อ) และ ดีเยี่ยมทางใจ
3. รีเซ็ตจิตใจให้ผ่องใสคือทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ♛ จากซุมคอเรนต์ที่ต้องการตรวจสอบความต้องการที่จะไม่ให้เข้าถึงความสงบรวมถึงความไม่พอใจในกาม
แก้ไขล่าสุด (วันจันทร์ที่ 06 มีนาคม 2023 เวลา 08:24 น.)
หลวงปู่มั่นแสดงธรรมวันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา
เรื่อง "หลวงปู่มั่นแสดงธรรมเนื่องในวันมาฆบูชา"
(ธรรมเทศนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(วันเพ็ญเดือน ๓ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒)
"การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองเป็นวิสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่เหมือนพวกเราซึ่งแสดงปาฏิโมกข์ในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้มีกิเลสล้วนๆ ไม่มีบุคคลผู้สิ้นกิเลสสับปนอยู่เลยแม้คนเดียว
ฟังแล้วน่าสลดสังเวชอย่างยิ่งที่พวกเราก็เป็นคนผู้หนึ่ง หรือเป็นพระองค์หนึ่งในความเป็นศากยบุตรของพระองค์ องค์เดียวกัน แต่มันเป็นเพียงชื่อไม่มีความจริงแฝงอยู่บ้างเลย เหมือนคนที่ชื่อว่าพระบุญ เณรบุญ และนายบุญ นางบุญ แต่เขาเป็นคนขี้บาปหาบแต่โทษและอาบัติใส่ตัวแทบก้าวเดินไปไม่ได้
สมัยโน้นท่านทำจริงจึงพบแต่ของจริง พระจริง ธรรมจริงไม่ปลอมแปลง ตกมาสมัยพวกเรากลายเป็นมีแต่ชื่อเสียงเรืองนามสูงส่งจรดพระอาทิตย์พระจันทร์ แต่การกระทำต่ำยิ่งกว่าขุมนรกอเวจี แล้วจะหาความดี ความจริง ความบริสุทธิ์มาจากไหน เพราะสิ่งที่ทำ มันกลายเป็นงานพอกพูนกิเลสและบาปกรรมไปเสียมาก มิได้เป็นงานถอดถอนกิเลสให้สิ้นไปจากใจ แล้วจะเป็นวิสุทธิอุโบสถขึ้นมาได้อย่างไรกัน
บวชมาเอาแต่ชื่อเสียงเพียงว่าตนเป็นพระเป็นเณรแล้วก็ลืมตัว มัวแต่ยกว่าตนเป็นผู้มีศีลมีธรรม แต่ศีลธรรมอันแท้จริงของพระของเณรตามพระโอวาทของพระองค์แท้ๆ นั้นคืออะไร ก็ยังไม่เข้าใจกันเลย ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ท่านสอนว่าอย่างไร นั่นแลคือองค์ศีลองค์ธรรมแท้ ท่านแสดงย่อเอาแต่ใจความว่า การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลคือความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่ทำบาป ถ้าทางกายไม่ทำแต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำแต่ทางใจก็ทำ และสั่งสมบาปวันยังค่ำจนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากนอนก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นอยู่ทำนองนี้ โดยมิได้สนใจคิดว่าตัวทำบาปหรือสั่งสมบาปเลย แม้เช่นนั้นยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลมีธรรม และคอยเอาแต่ความบริสุทธิ์จากความมีศีลมีธรรมที่ยังเหลือแต่ชื่อนั้น
ฉะนั้นจึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมองวุ่นวายภายในใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะตนแสวงหาสิ่งนั้นก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้นจะให้เจออะไรเล่า คนเราแสวงหาสิ่งใดก็ต้องเจอสิ่งนั้นเป็นธรรมดา เพราะเป็นของมีอยู่ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์ ที่ท่านแสดงอย่างนี้ แสดงโดยหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติ เพื่อนักปฏิบัติได้ทราบอย่างถึงใจ"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
แสดงธรรมเมื่อวันมาฆบูชา
วันเพ็ญเดือน ๓ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒
Â
ไฟล์เสียงใหม่
อัปเดต 5 กันยายนÂ 2562
Â
5. ราชารมไผ่มรกตไม่ใช่วัด - พระธาตุเกาะพยานาค. mp3
15. ของในโลกทิพกับโลกมนุษย์. mp3
16. คำสอนของพระพุธเจ้าย่อ ๆ คือจิต. mp3
18. พรเป็นสิ่งศักศิทย์เหนือธรรมดา. mp3
22. การทำความดีย่อมได้รับผลดีแน่นอน. MP3
24. การทำจิตหยุดให้มีพลังสมาธิ. mp3
25. การทำสมาธิของผู้มีจริตและไม่มีจริต. MP3
26. การทำสมาธิอยากเห็นนั้นเห็นนี่. mp3
28. การปฏิบัติศีลธรรมด้วยความจริงใจ. mp3
29. การปฏิบัติให้เป็นพระแท้. mp3
30. การปฏิบัติให้ได้ผลจริงพระเตมีย์. mp3
31. การรู้จักวิธีดับทุกข์. mp3
32. การเข้าถึงยอดธรรมยอดคาถา. mp3
38. จะกล่าวฤึงองค์สิบพระพุทธเจ้า. mp3
39. จะกล่าวฤึงองค์สิบพระพุทธเจ้า 1.mp3
40. จิตที่ผ่องใสกับจิตที่เศร้าหมอง. MP3
41. จิตเดิมแท้ผ่องใสขาวรอบ. mp3
47. พรประเสริฐจากท่านพระคุณเจ้า. MP3
49. สมาธิทำใจว่างทำอย่างไร. mp3
51. เมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์. mp3
แก้ไขล่าสุด (วันพฤหัสบดีที่ 05 กันยายน 2019 เวลา 14:42 น.)
การปราถนาให้พ้นทุกข์ของคนเรา
การปราถนาพระนิพพานในชาตินี้
นะโมตัสสะ ภัควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ ฯ
คนเรานี้ ย่อมมีความปรารถนาหลายอย่าง แต่ความปรารถนา ที่ดี หรือที่ควรปรารถนานั้น ก็มีอยู่ 3 อย่าง คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ การปรารถนาความดี คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พระนิพพานสมบัติ อันนี้เป็นความปราถนาที่ดี ทีนี้ก็มีบางคน พูดว่า ข้าพเจ้า ปรารถนานิพพานสมบัติปรารถนาจะให้สำเร็จ ถึงพระนิพพานในชาตินี้ ผู้ที่ปรารถนาหรือที่กล่าว นั้นเป็นใคร ก็คือ เป็นคนชาวบ้าน คนธรรมดาของเราดีๆนี้เอง ปรารถนานิพพานในชาตินี้ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย อย่างนี้ก็นับว่าเป็นความปรารถนาที่ดี หรือที่ถูก เพราะความปรารถนาพระนิพพานนั้น คือเป็นความพ้นทุกข์ หรือถึงสุขอย่างยิ่ง คือบรมสุข การปรารถนาของท่านดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้นั้น ก็เป็นข้อที่น่าคิดอยู่ประการหนึ่งว่า ความปรารถนาของท่าน ทั้งๆที่เป็นฆราวาส ครองบ้าน ครองเรือนอยู่ แล้วก็ปรารถนาให้สำเร็จ ให้ถึงพระนิพพานสมบัติ ในชาติปัจจุบันนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร หรือจะสำเร็จได้นั้น มันก็จะต้องทำเหตุให้ถึงพร้อม คือพร้อมด้วยเหตุอันจะถึงซึ่งนิพพานสมบัติ แต่เพียงปรารถนานิพพานสมบัติในชาตินี้ แต่ไม่ทำเหตุให้มันถึงพร้อม ท่านพระคุณเจ้าหลวงพ่อว่า มันเป็นไปไม่ได้ คือจะสำเร็จถึงพระนิพพานไม่ได้ ก็จะเปรียบเหมือนกับว่า ไม้ดิบ มันแช่อยู่ในน้ำ จะให้เอามาทำฟืนมาสีไฟ หรือเอามาก่อไฟ มันก็ติดไฟไม่ได้ ลุกเป็นไฟไม่ได้เพราะเป็นไม้ดิบ เมื่อเอาฟืนนั้นขึ้นมาจากน้ำ แต่ถ้าเป็นไม้แห้ง แล้วเอาออกจากน้ำ ก็มีโอกาส ที่จะเอามาสีไฟ หรือก่อไฟให้ติดได้ ฉันใดก็ดี ผู้ที่ครองบ้าน ครองเรือน อยู่กับโลกธรรม ก็เหมือนกับว่าเป็นไม้ อาจจะเป็นไม้แห้งก็ได้ แต่ว่าแช่เป็นไม้ชื้นอยู่ในน้ำ เอามาสีไฟ จะติดทันทีก็เป็นไปไม่ได้ ก็หาโอกาส ให้มันตากลม ตากแดดให้มันแห้ง เมื่อสมควรจึงจะสีไฟติด ขึ้นมาได้ ฉันใดก็ดี ผู้ครองเรือน อยู่ด้วยเย้า อยู่ด้วยเรือน การครองเรือน มีการทำมาหากิน มีการรักษาสมบัติ บ้านเรือนหวงแหน มีการถือว่าไอ้นั่นของกู ไอ้นี่ก็ของกู สิ่งเหล่านี้ มันก็เหมือนกับน้ำชุ่ม อยู่ด้วยน้ำเหมือนกับน้ำชุ่ม หรือยางที่อยู่ติดไม้ ก็คือกิเลส อันว่าของกู หรือตัวกู สิ่งเหล่านี้นั้นนะ มันตรงกันข้ามกับพระนิพพาน ก็เพราะฉะนั้น การจะทำให้ถึงพร้อม ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนั้น ก็ทำให้ถึงพร้อมปัจจุบันเสียก่อน ด้วยการสลัด สลัดก็คือ สละทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ไร่นาสาโท ทุกอย่างที่เขาหวงแหนกัน แล้วก็ถือบวช กระทำในใจหรือถือเพศพรหมจรรย์ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นมูลฐาน อันที่จะทำให้แจ้ง ในชาติปัจจุบันได้ แต่ถ้ายังเป็นเพศครองเรือนอยู่ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็ย่อมจะเป็นไปได้ยาก อันที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ว่าเป็นไปไม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าทำเหตุให้มันเป็นไปตามขั้นตอน ก็จะสำเร็จได้ ถึงไม่สำเร็จในชาตินี้ ก็จะสำเร็จในชาติหน้า คือได้ ถึงพระนิพพานในชาติหน้าได้ ขั้นตอนหรือมูลฐาน หรือเหตุให้ถึงพร้อม เบื้องต้น หมายถึง เหตุดังที่พระคุณเจ้ากล่าวมาแล้วข้างต้น เช่นต้องการพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ถือเพศออกบวช นุ่งขาว ห่มเหลือง หรือไม่เอาอะไรทั้งหมด ปล่อยวางการยึดถือแล้วก็ปฏิบัติ มุ่งไปสู่พระนิพพาน ทำลาย โลภะ โทสะ โมหะ เจริญสมถะวิปัสสนากรรรมฐานไป ก็จะสำเร็จในชาติปัจจุบันเรา อันนี้เป็นมูลฐาน หรือการถึงพร้อมเบื้องต้น แต่ถ้าปรารถนาพระนิพพาน แต่ว่าไม่ได้ปราถนาให้สำเร็จ ในชาตินี้ มูลฐานเบื้องต้น หรือการถึงพร้อมเบื้องต้น เพียงแค่ ศีล ๕ อยู่บ้านครองเรือน อันนี้ก็เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพานในชาติหน้า ได้อย่างแน่นอน ถึงไม่ถึงพระนิพพานในชาติหน้า มันก็เป็นมูลเหตุให้เกิดในโลกสวรรค์ โลกทิพย์ โลกอันมีความสุข หลังจากที่ตายในชาตินี้ไปแล้ว มูลฐานเบื้องต้น ที่ท่านพระคุณเจ้ากล่าว คือ ศีล๕ นี้นั้น อันนี้เป็นมูลฐานทั่วๆไป คือให้ได้สำเร็จ คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และพระนิพพานสมบัติ แต่จะเมื่อใดนั้น มันก็แล้วแต่โอกาส หรือกาลเวลาที่จะมาถึง ถึงจะเป็นคนที่มืดมาก่อน เป็นคนที่ชั่วมาก่อน เป็นคนไม่ดีมาก่อน เป็นคนร้ายมาก่อน เป็นโจรมาก่อน เป็นคนฆ่าคนมาก่อน แต่เมื่อมามี ศีล๕ มาสำนึกตน และได้เอาถือ ศีล ๕ เป็นมูลฐาน หรือเป็นทางถึงพร้อมเบื้องต้น ก็จะเป็นเหตุให้ ได้สิ้นอบายภูมินรก ไม่ต้องไปนรก ไม่ต้องไปอบาย เพราะศีล ๕ หรือมูลฐานเบื้องต้นนั้น มีผล ๒ อย่าง คือผลขั้นแรก ไม่ต้องไปตกในอบาย ผลขั้นลำดับต่อมา คือให้เกิดในแดนสวรรค์ หรือสุคติ ผลต่อไปคือให้เข้าถึงพระนิพพาน อันนี้คือเป็นสมบัติ สุดท้าย พระนิพพานเป็นสมบัติสุดท้าย พระคุณเจ้า จะขอเล่าเรื่องของคนชั่ว ท่านหนึ่ง ....
แก้ไขล่าสุด (วันพุธที่ 25 กันยายน 2013 เวลา 11:27 น.)
|